นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/61 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 5,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 93% จากไตรมาส 1/61 กำไรสุทธิที่ดีขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของกิจการในประเทศเวียดนามที่เข้าสู่ภาวะปกติ
ส่วนยอดขายในไตรมาส 2/61 มีจำนวน 136,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันองปีก่อน เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกิจการต่างประเทศ 16% ในขณะที่ยอดขายกิจการประเทศไทยลดลง 5%
ยอดขายของ CPF เกิดจากกิจการต่างประเทศจำนวน 16 ประเทศ 68% กิจการในประเทศไทย 27% และจากการส่งออกจากประเทศไทย 5% ของยอดขายรวม โดยมียอดขายจาก 3 ประเทศหลัก คือ ประเทศไทย (32%) สาธารณรัฐประชาชนจีน (26%) และประเทศเวียดนาม (16%) คิดเป็นประมาณ 74% ของยอดขายรวม
นายสุขสันต์ กล่าวว่า ภาวะเนื้อสัตว์ล้นตลาดในหลายประเทศเป็นปัจจัยหลักในการกดดันผลการดำเนินงานของซีพีเอฟตั้งแต่ไตรมาส 4/59 ที่เกิดภาวะผลผลิตสุกรล้นตลาดในประเทศเวียดนาม และเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะผลผลิตสุกรและไก่เนื้อล้นตลาดในประเทศไทยในช่วงกลางปี 60 ที่ผ่านมา ซึ่งในเดือน เม.ย.ปีนี้ราคาเนื้อสุกรในทั้ง 2 ประเทศเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเหนือต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะราคาสุกรในประเทศเวียดนามได้มีการปรับมาอยู่ในภาวะปกติ อันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟดีขึ้นในไตรมาส 2/61 และคาดว่าน่าจะยังคงดีต่อเนื่องถึงปี 62 โดยราคาสุกรและไก่เนื้อในประเทศไทยมีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/61 และน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งหลังของปีจะดีกว่าช่วงที่ผ่านมา
สำหรับวิกฤตค่าเงินของประเทศตุรกีนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในประเทศตุรกี ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ของยอดขายรวม เนื่องจากกิจการของบริษัทเน้นการผลิตและจำหน่ายในประเทศตุรกีเป็นหลัก และได้ปรับโครงสร้างทางการเงินในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะส่งผลดีให้กับกิจการในประเทศตุรกีส่งออกได้เพิ่มขึ้น