นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) คาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจหลักจะเติบโตขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 61 โดยในส่วนธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีสัญญาณที่ดีไปตลอดช่วงปี 61 เนื่องจากดัชนีบอลติค (BDI) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นปี 60 ที่ 953 จุดมาอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 1,260 จุดในไตรมาส 2/61 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเติบโตของกองเรือทั่วโลกที่จำกัดและปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการสินแร่เหล็ก และสินค้าเทกองประเภทอื่นๆ (Minor Bulk)
ขณะที่ TTA ได้ซื้อเรือมือสองเพิ่มจำนวน 2 ลำในช่วงครึ่งปีแรก เพราะเป็นรอบวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจ เห็นได้จากความต้องการสินค้าแห้งเทกองที่เพิ่มขึ้น และอัตราการเติบโตของกองเรืออยู่ในระดับต่ำ
ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 60 เป็นค่าเฉลี่ยที่ 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 2/61 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำมันยังคงผันผวนจากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ ซึ่งดำเนินธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบ ณ สิ้นไตรมาส 2/61 ประมาณ 165 ล้านเหรียญก็ตาม แต่จำเป็นต้องหามาตรการเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กลับมามีกำไรมากขึ้นในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า
TTA เผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 94.2 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 214.71 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.12 บาท
ทั้งนี้ TTA ระบุว่าผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 399.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% จากไตรมาสที่ผ่านมา และ กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA อยู่ที่ 94.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,050% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 56% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนวันทำงานที่ลดลงจากการเข้าอู่แห้งเพื่อบำรุงรักษาตามแผนของเรือวิศกรรมใต้น้ำและอุปสงค์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งยังคงมีฐานลูกค้านตะวันออกกลางที่มั่นคง ทำให้สามารถรักษาอัตราการใช้ประโยชน์เรือที่กลุ่มธุรกิจเป็นเจ้าของได้ที่ระดับ 70% ในไตรมาส 2/61 นี้
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 3,394.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร และกลุ่มการลงทุนคิดเป็น 42% 20% 21% และ 17% ของรายได้รวมทั้งหมดตามลำดับ ในขณะที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 755.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสที่ผ่านมา
TTA ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินมั่นคง ด้วยเงินสดภายใต้การบริหาร อยู่ในระดับสูงถึง 7.4 พันล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net IBD/E) ระดับต่ำที่ 0.12 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 61 เกษตรกรในประเทศเวียดนามได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ดังนั้นในช่วงนี้เกษตรกรจึงให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่ายมากกว่าการเพิ่มผลผลิตเป็นการชั่วคราว ทำให้มีความต้องการใช้ปุ๋ยเชิงเดี่ยว (single fertilizer) เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ (PMTA) ที่ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ เพื่อการเกษตรในประเทศเวียดนามรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของธุรกิจปุ๋ยและพื้นที่โรงงานให้เช่าได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ กลุ่มการลงทุนอื่น TTA ได้จัดตั้ง บริษัท สยามทาโก้ จำกัด (STC) เป็น บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้น 70% เพื่อลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารทาโก เบลล์ (Taco Bell) ในประเทศไทย นอกจากนี้ เมื่อเดือน ส.ค.61 TTA ยังได้เข้าลงนามในสัญญาเพื่อเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (AIM) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างและให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการน้ำในภูมิภาคเอเชียที่มีประสบการณ์สูง เพื่อเพิ่มจุดแข็งในธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำในประเทศไทย