ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (19 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และจากข่าวที่ว่าวาณิชธนกิจมอร์แกน สแตนลีย์ ประกาศสำรองบัญชีหนี้สูญมูลค่ามูลค่า 9.4 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 25.20 จุด หรือ 0.19% แตะระดับ 13,207.27 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดรูดลง 1.98 จุด หรือ 0.14% แตะระดับ 1,453.00 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 4.98 จุด หรือ 0.19% แตะระดับ 2,601.01 จุด
ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.35 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 9 ต่อ 7 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 1.88 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในช่วงเช้า แต่ต่อมาตลาดเริ่มถอยร่นลงสู่แดนลบหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทแอมแบก ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงค์และเอ็มบีไอเอ อินชัวแรนซ์ คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ออกพันธบัตรรายใหญ่ที่สุด 2 รายของโลก
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ไม่ได้ปรับตัวลงมากนักเนื่องจากตลาดยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง อาทิ ข่าวที่ว่ามอร์แกน สแตนลีย์ได้รับเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์จากหน่วยงานของรัฐบาลจีน และข่าวที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดประมูลวงเงินกู้ระยะสั้นประเภท 28 วัน มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและเพื่อฟื้นฟูธุรกิจธนาคาร
นายแมทท์ เคลมอน นักวิเคราะห์จากบริษัทเคลมอร์ สตราเทจี ฟันด์ กล่าวว่า "มีข่าวในด้านลบเข้ามาเป็นระลอกแต่ก็ไม่สามารถฉุดตลาดให้ร่วงลงรุนแรงได้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาวะที่ตลาดถูกกระหน่ำขายนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ผมเชื่อว่าแรงกดดันอย่างหนึ่งที่ทำให้ตลาดปิดในแดนลบก็คือสัญญาอ็อพชั่นจะครบกำหนดส่งมอบในช่วงปลายสัปดาห์"
ทั้งนี้ หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดขึ้น 4.2% หลังจากบริษัทประกาศว่าได้เม็ดเงินลงทุนจากจีนมุลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ โดยริชาร์ด ปีเตอร์สัน นักวิเคราะห์จากธอมสัน ไฟแนนเชียลกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวทำให้จีนกลายเป็นผู้ซื้อหุ้นรายใหญ่ในมอร์แกน สแตนลีย์ หลังจากก่อนหน้าที่ซิตี้กรุ๊ปได้ขายหุ้นมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ให้กับสำนักงานเพื่อการลงทุนแห่งอาบูดาบี ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
หุ้นเจนเนอรัล มิลส์ ร่วงลง 1.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.99 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ายอดขายผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปปรับตัวลงเนื่องจากต้นทุนด้านส่วนผสมและต้นทุนอื่นๆที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่หุ้นปาล์ม อิงค์ ดิ่งลง 6.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--