นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มเจมาร์ทในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากธุรกิจโทรศัพท์มือถือเจมาร์ท โมบาย (J Mobile), ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ภายใต้แบรนด์ "J MONEY" (J FINTECH), ธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ (JMT), ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (J) และ SINGER มีการเติบโตที่ดีขึ้น โดยมั่นใจว่าในปีนี้ กลุ่มเจมาร์ทจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากปัจจุบันมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 142.72 ล้านบาท
ทั้งนี้มองแนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจโทรศัพท์มือถือเจมาร์ท โมบาย (J Mobile) ในครึ่งปีหลังนี้ถือว่าเป็นช่วงของไฮซีซั่นของกลุ่มสมาร์ทโฟน จากหลายค่ายเริ่มทยอยเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น SAMSUNG Note 9 และแบรนด์ดัง OPPO, Vivo เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ จะทำโปรโมชั่นดีๆให้กับลูกค้า อีกทั้งยังเตรียมออกบริการใหม่ๆ (New Services) โดยจะนำบริการด้านการเงิน เช่น การขายประกันในร้าน Jmart เป็นต้น รวมถึงการร่วมกันกับบมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) ไปทำแคมเปญร่วมกับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้ก็จะมีการออกแคมเปญให้กับลูกค้าเหมือนเดิม
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างมองหาบริการดีๆ ในการเข้ามาตอบโจทย์ให้กับลูกค้า หลังจากธุรกิจประกันภัยภายใต้บมจ.เจพี ประกันภัย (JP) ซึ่ง JMT ได้เข้าถือหุ้นสัดส่วน 55% ได้เข้ามามีบทบาทหน้าร้านเจมาร์ทมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็มีการออกแคมเปญ เช่น ยื่น ยอด หยิบ 3 ขั้นตอนง่ายๆ กับการซื้อพรบ.เจพี ที่เจมาร์ท และแคมเปญที่ได้ทำร่วมกับประกันภัยรถยนต์ อย่าง มีรถ ได้ลด เมื่อซื้อประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ได้รับส่วนลดทันทีเมื่อซื้อโทรศัพท์มือถือในรุ่นที่กำหนด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินรายได้จากการ Synergy กับบริษัทในเครือ ทั้งการขายโทรศัพท์มือถือในศูนย์การค้า IT Junction, Singer, J MONEY และ JP ในครึ่งปีหลังนี้จะมีการติบโตมากขึ้น คาดว่าในไตรมาส 3/61 จะมีรายได้เติบโตเป็น 500 ล้านบาท และในไตรมาส 4/61 จะเติบโตเป็น 700 ล้านบาท
ด้านธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ ภายใต้แบรนด์ "J MONEY" หรือ J FINTECH ในครึ่งปีหลังนี้ผลการดำเนินงานน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากไตรมาส 2/61 มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอยู่ที่ 170 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/61 ที่อยู่ที่ 200 กว่าล้านบาท ขณะที่แผนการปล่อยสินเชื่อในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมอีก 1 พันล้านบาท หรือคิดเป็นราว 100 ล้านบาทต่อเดือน โดยบริษัทฯ จะควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ให้เกิน 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6% จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
พร้อมกันนี้คาดว่า J Fintech จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4/61 ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 63
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ และลงทุนในบริษัท Started-up ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จะเข้ามาพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ให้ธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม ของบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาระบบ Digital Lending Platform (DLP) ตามแผนงานที่วางไว้ โดยได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในชื่อ "ป๋า" และ "Fastmoney" เงินหมุนด่วนอนุมัติเร็ว และได้ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) (FN) ผู้นำในธุรกิจเอ๊าท์เลท ภายใต้แบรนด์ "FN Outlet" ทดลองการนำเงินสินเชื่อจากระบบ DLP เพื่อใช้ในการจับจ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกลูกค้าในการจับจ่ายด้วยระบบสินเชื่อออนไลน์ ซึ่งนับเป็นการเสริมช่องทางการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งในวันที่ 1 ต.ค.นี้ บริษัทฯ จะให้นำเหรียญ J Fincoin มาซื้อสินค้าในร้านเจมาร์ท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือเพิ่มเติมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ JFincoin มีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ความคืบหน้าของการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท พระอินทร์ ฟินเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกค้าของบมจ. เอ็ม เอฟ อีซี (MFEC) ในสัดส่วน 20% นั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปและแถลงความชัดเจนอีกครั้งในช่วงเดือนก.ย.นี้
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) กล่าวว่า บริษัทฯ มั่นใจรายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตราว 30% ตามเป้าหมาย จากการเข้าซื้อหนี้มาบริหารได้ครบ 4.5 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกได้เข้าซื้อหนี้มาบริหารแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจประกันภัย JP ที่บริษัทฯ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 55% นั้น จะเริ่มเห็นแคมเปญออกสู่ตลาดมากขึ้น เช่น การคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ EV, ประกันภัยโดรน รวมถึงเบี้ยประกันภัยที่จะมีตั้งแต่ถูก ไปจนถึงการคุ้มครองในระดับสูง
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) กล่าวว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61 ที่เป็นช่วงของการเข้ามาเช่าพื้นที่ของลูกค้ารายใหม่ และรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ Newera Condo เข้ามา ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ Casa Lapin จะเปิดสาขาเพิ่มเติมอีกจำนวน 1 สาขา และแบรนด์ Rabb Coffee จะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา
บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ คอมมูนิตี้มอล ในต่างจังหวัด คาดว่าจะเห็นความชัดเจนไม่เกิน 6 เดือนนี้ และอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในการร่วมลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ใน 2 เดือนจากนี้
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER กล่าวว่า บริษัทฯ คาดช่วงที่เหลือของปีนี้ทางมีแผนเพิ่มจำนวนสาขามาเป็น 187 ร้านสาขา จากปีก่อน 185 สาขา และเพิ่มจำนวนหัวหน้าสาขาย่อยในปีนี้เป็น 1,000 คน จากปัจจุบันมีจำนวน 606 คน เพื่อรุกการขายและการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าให้ครอบคลุมมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทฯ คาดผลงานในไตรมาส 3/61 น่าจะเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/61 เนื่องจากธุรกิจโมเดลธุรกิจใหม่ภายใต้ชื่อ "ฟาร์เมอร์โมเดล" ซึ่งเป็นการให้พนักงานเพิ่มความเข้มงวดในการขายสินค้าให้กับลูกค้าที่มีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนยอดขายของธุรกิจขยายตัว ประกอบกับยังเป็นการป้องกันปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในอนาคตได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามน่าจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 30%