นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 25% มาที่ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ จากราคาขายถ่านหินของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยราคาถ่านหินในตลาดโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ในระดับที่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะผลักดันให้ราคาขายถ่านหินของบริษัทเพิ่มขึ้นในปีนี้ด้วย แม้ว่าเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินจากเหมืองในจีน,อินโดนีเซีย และออสเตรเลียในปีนี้จะอยู่ในระดับ 45 ล้านตันใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
โดยมีเป้าหมายการขายถ่านหินจากเหมืองในออสเตรเลีย 15 ล้านตัน ปัจจุบันได้ขายไปแล้ว 99% ซึ่งในส่วนนี้กำหนดราคาแล้ว 75% และยังคงเหลืออีกราว 25-26% ที่ยังไม่ได้กำหนดราคาขาย ดังนั้น หากราคาขายถ่านหินปรับขึ้นได้อีกก็จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ ส่วนเป้าหมายการขายถ่านหินในอินโดนีเซียปีนี้ที่ 26 ล้านตันนั้น ขายล่วงหน้าไปแล้ว 88% โดยในส่วน 26 ล้านตัน ยังไม่ได้มีการกำหนดราคาขาย 43% ก็จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์หากราคาถ่านหินปรับตัวขึ้น แต่หากราคาไม่ได้ปรับขึ้น บริษัทก็จะไม่เสียประโยชน์เพราะว่ามีการกำหนดราคาขายล่วงหน้าแล้วเป็นส่วนใหญ่
"ทิศทางถ่านหินยังเป็น positive outlook ในปี 2018 จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิก"นางสมฤดี กล่าว
นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในเหมืองถ่านหินใหม่เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีอยู่ 5 เหมืองในอินโดนีเซีย และ 5 เหมืองในออสเตรเลีย ขณะที่ถือหุ้นบางส่วนของเหมืองในจีน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินให้อยู่ในระดับ 15 ปีจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 12 ปี โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย ในปีนี้หรือปีหน้า
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มงบลงทุนในปีนี้เป็น 600 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิม 182 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 180 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนที่เหลือ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้ลงทุนในโรงไฟฟ้า ,ถ่านหิน และธุรกิจพลังงานทางเลือก (Energy Technology Solution: ETS) ขณะที่อีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้รองรับการลงทุนในธุรกิจ shale gas ที่ยังอยู่ระหว่างการมองหาโอกาสการลงทุนต่อเนื่อง หลังจากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาของ shale gas นับว่าดีต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เข้ามาที่บริษัทราว 40 ล้านเหรียญสหรัฐ