นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในเอเชียรายหนึ่งที่สนใจเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยร่วมกับบริษัท โดยคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะเริ่มได้ในปี 62 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและมองหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ซึ่งการร่วมทุนกับพันธมิตรจะช่วยต่อยอดด้วยการนำองค์ความรู้จากพันธมิตรมาประยุกต์ใช้พัฒนาโครงการให้มีความน่าสนใจ
นอกจากนี้บริษัทยังมองการขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติ หลังแนวโน้มความสนใจของลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะชาวจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยตั้งเป้าหมายในปี 63 จะมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มเป็น 15% จากต่ำกว่า 10% ในปัจจุบัน โดยลูกค้าของบริษัทยังเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยเป็นหลัก
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทลูก คือ บริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ทำการศึกษาการลงทุนซึ่งคืบหน้าไปมากแล้ว โดยที่ในไตรมาส 4/61 จะได้ข้อสรุปการเข้าซื้ออพาร์ทเม้นท์ให้เช่า 1 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในเมืองที่สนใจ เช่น บอสตัน และเมืองในโซนฝั่งชายทะเลตะวันออกของสหรัฐฯ โดยมีงบในการลงทุนอยู่ที่ 1 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงแหล่งเงินทุนที่จะใช้ ซึ่งตอนนี้พิจารณาทั้งการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในไทยและในสหรัฐฯ
สำหรับการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่านับเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 20% หากมีการซื้อมาแล้วนำไปขายต่อหลังจากที่รีโนเวทใหม่ และมีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี อีกทั้งสหรัฐฯเป็นตลาดที่น่าสนใจหลังจากที่เศรษฐกิจได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น และเป็นประเทศที่มีนักศึกษาและคนทำงานจากต่างชาติเข้าไปอยู่อาศัยมาก ทำให้มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง และราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี
ด้านแนวโน้มภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะยอดขายและรายได้ เนื่องจากจะเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังจำนวน 15 โครงการ มากกว่าครึ่งปีแรกที่เปิดไป 3 โครงการ ทำให้คาดว่ายอดขายจะมากกว่าครึ่งปีแรกที่ทำได้ 7.24 พันล้านบาท ขณะที่รายได้ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะทำได้สูงกว่าระดับ 6.65 พันล้านบาทในครึ่งปีแรกด้วยเช่นเดียวกัน จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม Saladaeng One ต่อเนื่องในไตรมาส 3/61 และในช่วงปลายเดือนส.ค.-ต้นเดือนก.ย.นี้ จะเริ่มโอนโครงการ BEATNIQ สุขุมวิท 32 มูลค่า 4 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะโอนได้ราว 25% ของมูลค่าโครงการถึงสิ้นปีนี้ และยังมีโครงการคอนโดมิเนียมและแนวราบอื่น ๆ ทยอยโอนเข้ามา
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 62 กำลังอยู่ระหว่างการพิจาณา ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 7 พันล้านบาท ซึ่งได้ใช้ซื้อที่ดินไปแล้ว 60% เพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่ในปี 62 ส่วนที่ดินย่านหลักสี่ บนถนนวิภาวดี ของบริษัท ปัจจุบันชะลอแผนการพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งที่ 4 ออกไป เนื่องจากบริษัทมองว่าทำเลดังกล่าวมีการแข่งขันของอาคารสำนักงานให้เช่าบนถนนวิภาวดีที่เกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้บริษัทยังมองว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ซึ่งภายในช่วง 1-2 ปีนี้ บริษัทจะยังไม่มีแผนการลงทุนอาคารสำนักงานแห่งใหม่เกิดขึ้น
ส่วนการออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจาณา โดยจะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุในครึ่งปีหลังนี้จำนวน 800 ล้านบาท แต่บริษัทยังมีวงเงินหุ้นกู้ที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นอยู่ 2-3 พันล้านบาท ซึ่งอาจจะพิจารณาออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ได้ โดยเบื้องต้นหุ้นกู้ชุดใหม่จะมีอายุ 3 ปี ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทยอยปรับเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทจะต้องมีการบริหารต้นทุนการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม โดยที่เป็นแหล่งเงินทุนมาจากหุ้นกู้ 60% และเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 4% ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะบริษัทได้มีการวางแผนการใช้เงินไปล่วงหน้าถึง 3 ปีด้วย
สำหรับผลกระทบต่อลูกค้าของที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย หลังจากแนวโน้มดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้นมองว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นที่เป็นเชิงจิตวิทยาที่ทำให้ลูกค้าอาจจะชะลอการตัดสินใจสักพัก แต่อย่างไรก็ตามความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าชาวไทยยังมีอยู่มาก และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่กระทบต่อการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทเป็นกลุ่ม Real Demand ซึ่งมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการอาศัยจริง และแนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทมีแนวโน้มลดลง ซึ่งในครึ่งปีแรกอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบลดลงมาอยู่ที่ 8% จากสิ้นปีก่อนที่ 10% ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมแทบไม่มีเลย
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SC เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดโครงการในครึ่งปีหลังจำนวน 15 โครงการใหม่ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1.7 พันล้านบาท คือ โครงการ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่าโครงการ ราคา 3-5 ล้านบาท/ยูนิต โดยได้เปิดขายอาคาร A ไปแล้ว ซึ่งมียอดขายแล้ว 80-90% และจะมีอาคารที่เหลือที่จะนำไปเปิดขายในปี 62 ซึ่งจะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเป็น 130,000 บาท/ตารางเมตร
ส่วนโครงการแนวราบใหม่จะเปิดจำนวน 14 โครงการ มูลค่า 1.33 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายโครงการแนวราบในทุกระดับราคา ตั้งแต่ 3-60 ล้านบาท โดยโครงการที่จะเปิดในครึ่งปีหลังทั้งหมดจะแบ่งเป็นไตรมาส 3/61 จำนวน 9 โครงการ และไตรมาส 4/61 จำนวน 6 โครงการ จากครึ่งปีแรกที่เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจยอดขายและรายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยจะมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะรับรู้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้ราว 4.7-4.8 พันล้านบาท จาก Backlog ของบริษัททั้งหมดที่มี 1.07 หมื่นล้านบาท และบริษัทยังมั่นใจเป้าหมายรายได้ปี 63 จะสามารถบรรลุได้ตามเป้าที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยที่ปี 62 ในเบื้องต้นตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท โดยในปีหน้าจะโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการ 28 Chidlom, โครงการ CENTRIC รัชโยธิน และโครงการ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น
ด้านการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนที่ดินย่านหลังสวน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สโคป ทาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 90% และอีก 10% ถือหุ้นโดยนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ โดยให้นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ เป็นผู้บริหารธุรกิจ ซึ่งเตรียมที่จะเปิดเผยรายละเอียดการพัฒนาโครงการในช่วงปลายปีนี้ และจะเริ่มพัฒนาในปี 62
นายณัฐพงศ์ กล่าวต่อว่า ด้วยกลยุทธ์ Re-invention 2020 ที่มุ่งสู่การเป็น Living Solutions Provider มีความคืบหน้าไปแล้วตามแผน ได้แก่ 1. ร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Application กับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่าง SC และ ชาว SC Family พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งระบบ iOS และ Android ไตรมาส 4/61 โดย 2 feature สำคัญเป็นการแจ้งซ่อม และ One-on-One Conversation ที่ชาว SC Family สามารถติดต่อ SC และติดตามสถานะงานซ่อมได้ทุกที่ตลอด 24 ชม. และหลังจากนี้จะมี feature ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาทุก ๆ ไตรมาส ผ่านวิธีคิดอย่างเข้าใจและรู้ใจผู้ใช้ (human-centric) 2. มีการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจหลากหลายใน ecosystem นำร่องโดยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 6 ไร่ บริเวณด้านหน้าของที่ดินบางกะดี จ.ปทุมธานี ขนาด 240 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนในย่าน
3. เริ่มปรับปรุงพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. บริเวณชั้น 14 ณ อาคารชินวัตร 3 สำนักงานใหญ่ เป็น co-working space เพื่อส่งเสริมการทำงาน (co-creation) ร่วมกับ Startup หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ พร้อมเปิดใช้ไตรมาส 2/62 และ 4. ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Slingshot Group ปรับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในบริบทใหม่ สำหรับทุกคนในองค์กร และ คนรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมงานกับ SC ในอนาคต
"บริบทใหม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ landscape ในการทำธุรกิจ SC จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยเป็น Living Solutions Provider ผสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต เราพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เรียนรู้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย แต่ 2 สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือ คุณภาพสูง และความจริงใจจาก SC"นายณัฐพงศ์ กล่าว