นายปิยะ ยอดมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สายการบินนกแอร์ (NOK) เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารบริษัทเตรียมนำเสนอแผนธุรกิจระยะยาวที่จะทำให้บริษัทพลิกฟื้นกลับมาเติบโตในระยะยาวให้กับคณะกรรมการบริษัทในเดือน ก.ย.นี้ หลังจากที่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ขณะที่คาดหวังผลประกอบการเฉพาะงบเดี่ยวปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว แม้ยังมีความกังวลต่อปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนและทิศทางราคาน้ำมันก็ตาม
"แผนธุรกิจนี้จะช่วยธุรกิจเติบโตในระยะยาว โดยเราจะไม่เปลี่ยนแผนจากที่เราทำ แต่เราจะทำให้ดีขึ้น จะต้องมี BIG Change....ในงวดครึ่งปีแรกเราเห็นแล้วว่าผลประกอบการดีขึ้น สิ่งที่เราทำคือหยุดเลือด แล้วค่อยไปแบบ S Curve"นายปิยะ กล่าว
NOK รายงานผลประกอบการเฉพาะงบเดี่ยวในงวดครึ่งแรกปีนี้ มีผลขาดทุนสุทธิ 774.68 ล้านบาท ลดลงจากที่ขาดทุนสุทธิ 909 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ NOK มีผลขาดทุนสุทธิติดต่อกัน 4 ปีนับตั้งแต่ปี 57 โดยล่าสุดปี 60 มีผลขาดทุนสุทธิ 1.83 พันล้านบาท
นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายในปีนี้จะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารเป็น 10 ล้านคน จากปีก่อนมีจำนวนผู้โดยสาร 8.78 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1.22 ล้านคน คิดเป็นเติบโต 14% โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีจำนวนผู้โดยสาร 4.72 ล้านคน เติบโต 7.2% ด้านอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ตั้งเป้าปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 92% จากงวดครึ่งปีแรกเฉลี่ยที่ 91.22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เฉลี่ย 84.81%
"ตัวเลข Cabin Factor แตะระดับ 90% ถือเป็น High record ตั้งแต่นกแอร์ก่อตั้ง ยังไม่เคยทำได้ระดับ 90%"นายปิยะ กล่าว
นอกจากนี้ อัตราการใช้เครื่องบินในงวดครึ่งปีแรกก็ดีขึ้นเป็น 9.76 ชั่วโมง (ชม.)/ลำ/วัน จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.89 ชม./ลำ/วัน และในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่ 11 ชม./ลำ/วัน อย่างไรก็ตาม รายได้ผู้โดยสารต่อผู้โดยสารต่อกิโลเมตร (Passenger Yield) อยู่ที่ 1.91% ลดลงจากระดับ 1.96% ในงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะมีการแข่งขันราคากันสูงมาก
นายปิยะ กล่าวว่า ผลประกอบการในปีนี้ควรจะดีกว่าปีก่อน หากระดับราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้ และอัตราแลกเปลี่ยนไม่ผันผวนมาก โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/61 ราคาน้ำมันอากาศยานอยู่ที่ 83.30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 31.10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทได้จัดซื้อน้ำมันร่วมกับ บมจ.การบินไทย (THAI) รวมทั้งการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้มากกว่า 50%
ส่วนเงินบาทอ่อนค่าลงทำให้ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐสูงขึ้น โดย 75% ของค่าใช้จ่ายบริษัทเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ น้ำมัน ค่าเช่าเครื่องบินและค่าซ่อมบำรุงรักษาเครื่องบิน
สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 2.6% มาที่ 7.67 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 0.72% ที่รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ทำให้มีผลขาดทุน 774.68 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 909 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ทำการลดต้นทุน ได้แก่ การปลดเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ออก 4 ลำ เหลืออยู่ 26 ลำ แต่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร(ASK) 13.22% โดยบริษัทเพิ่มความถี่ทำการบินมากขึ้น โดยจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 3.61%
ส่วนในไตรมาส 3/61 ผลประกอบการคงยังไม่ค่อยดีนัก เพราะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว และได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังจากมีเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ตเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนลดลงเหลือ 2 เที่ยวบิน/วัน จากเดิมมี 8 เที่ยวบิน /วัน และเส้นทางบินประจำยังคงอยุ่ที่ 10 เที่ยวบิน/วัน หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นอาจปรับลดลงมาอีก แต่เชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้นมากในไตรมาส 4/61 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) แต่อย่างไรก็ต้องดูคู่แข่งด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทพยายามกระจายความเสี่ยงไปเพิ่มเส้นทางต่างประเทศให้มากขึ้น โดยในวันที่ 15 ต.ค.นี้มีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ไปอินเดีย 2 เมือง และปีหน้าจะเปิดเพิ่มโดยจะรับมอบเครื่องบินใหม่อีก 2 ลำเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ โบอิ้ง 737-MAX รับมอบในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. เพื่อรองรับเส้นทางต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้ในเส้นทางต่างประเทศเป็น 40% จากปัจจุบัน 30% ขณะที่สัดส่วนรายได้ในประเทศปัจจุบัน อยู่ที่ 70% ก็จะลดลงมาที่ 60%
ส่วนสายการบินนกสกู๊ด ที่ NOK ถือหุ้นอยู่ 49% นั้นมีกำไร 47 ล้านบาทในปี 60 และในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 37.04 ล้านบาท แต่ไตรมาส 2/61 ขาดทุน 355.64 ล้านบาท หลังได้รับผลกระทบจากยอดนักท่องเที่ยวจีน แต่นกสกู๊ดก็มีแผนเพิ่มเส้นทางบินใหม่เพิ่มอีก
นายปิยะ กล่าวว่า จากกรณีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย "C" หุ้น NOK เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนชำระแล้วนั้น ในหลักการแนวทางที่จะสามารถปลดเครื่องหทมาย "C" ออกไปได้ บริษัทต้องทำกำไร เพื่อเพิ่มส่วนผู้ถือหุ้น หรือ เพิ่มทุน เพื่อขยายส่วนผู้ถือหุ้น
จากงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรวม ณ สิ้นวันที่ 30 มิ.ย. 61 NOK และบริษัทย่อย มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 406.10 ล้านบาท และมียอดขาดทุนสะสมอยู่ 6,196 ล้านบาท ขณะที่ทุนจดทะเบียนชำระแล้วมีอยู่ 2,271.99 ล้านบาท จากสิ้นธ.ค.ปี 60 มีส่วนผู้ถือหุ้น 691 ล้านบาท