นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 61 ว่า คาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 5-10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่กำไรจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ (MW) ในจังหวัดนราธิวาส เข้ามาเต็มปี และในช่วงครึ่งปีหลังจะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล เพิ่มอีก 2 แห่ง กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าจำนวน 9.5 เมกะวัตต์
"ในครึ่งปีหลังบริษัทยังคงเดินหน้าส่งมอบงานผลิตสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับลูกค้าตามออร์เดอร์ที่ได้รับมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากผู้ประกอบการหลายค่ายได้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาตลอดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะยอดขายในประเทศที่มีอัตราการเพิ่มขึ้น จากการขายงาน OEM ของรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า และยอดขายต่างประเทศในโซนออสเตรเลียและยุโรปที่เพิ่มขึ้นจากการขายงาน OEM ของรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อล่วงหน้ารอส่งมอบ (Backlog) มูลค่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 50% ในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้เข้ามาในปี 2562"นายสมพล กล่าว
นอกจากนี้ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป คาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ในรอบระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยหนุนดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของ FPI ในปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากการส่งออกสูงถึง 86%
ล่าสุด บริษัทจะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล บริษัท บิน่า พูรี่ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (BINA)ใน จ.แพร่ ที่มีบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) เข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 49% มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) สูงถึง 36-38% มากกว่า IRR จากโรงไฟฟ้าชีวมวลทั่วไปที่อยู่ระดับ 17-18%ขณะนี้โครงการที่ 1 ของ BINA ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.ลอง ขนาด 1 เมกะวัตต์ (MW) ได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.61
ขณะที่ BINA ยังมีโครงการที่ 2 ตั้งอยู่ใน อ.สูงเม่น ขนาดกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ด้วย โดยคาดว่าในส่วนโครงการที่ 2 คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และ COD ได้ ภายในสิ้นปี 61