บล.ทิสโก้ เตรียมปรับพอร์ตการลงทุนในปี 51 หันมาลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าผลตอบแทนที่ 10% จากเดิมที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตร โดยคาดว่าในปี 51 จะมีมาร์เก็ตแชร์ที่ 3.5-4% จากปีนี้ที่ 3% และมองว่า ดัชนี SETจะแตะ 1 พันจุดกลางปีหน้า และความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 20% ในปี 51
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะนำเงินพอร์ตลงทุนที่มีอยู่ 1.5 พันล้านบาทไปลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดหวังผลตอบแทน 10% ภายใต้ที่ฝ่ายวิจัยของบริษัทประเมินดัชนีในปีหน้าจะอยู่ที่ 1000 จุด ซึ่งจะเห็นสัญญาณดังกล่าวได้ในช่วงกลางปี
"ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนจากปัจจัยต่อเนื่องในปีนี้ ไม่ว่าเรื่องของการเมือง ถึงแม้จะมีการเลือกตั้ง แต่เรื่องตั้งรัฐบาลยังไม่ชัดเจน" นายไพบูลย์ กล่าว
การที่บริษัทมองว่าจะนำเงินไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งปัจจุบันพอร์ต การลงทุนของบริษัทจะเป็นการฝากธนาคารกับลงทุนในพันธบัตรเท่านั้น และ กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ดีในปีหน้าที่โต 20% จะเป็นตัวช่วยดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีหน้าให้เติบโต ทำให้ตลาดและการลงทุนดีขึ้นจากปีนี้ที่ติดลบ ดังนั้นจึงมองว่าปีหน้าทุกอย่างจะดีขึ้นและจะชัดเจนในครึ่งปีหลัง
*ปีหน้าเน้นรายได้จาก IB
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจ(IB)เป็น 30% จากปีนี้ 20% ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจะลดเหลือ 70% จาก 80% โดยรายได้ IB ยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีดีลในมือ 20 ดีล แบ่งเป็น M&A 10 ดีล และ IPO 3-4 ดีล แต่ละแห่งมีมาร์เกตแคปราว 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาการออกหุ้นกู้
ขณะเดียวกันมองว่ามาร์เกตแชร์ของบริษัทจะปรับตัวทิศทางเดียวกับดัชนี SET ที่ดีขึ้น โดยคาดว่าปีหน้าจะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 3.5-4% จากปีนี้ที่ 3%
รายได้ของบริษัทในปีนี้จะดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 49 ที่มีรายได้ 700 กว่าล้านบาท ส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ด้าน IB ที่เติบโต 5 เท่าหรืออยู่ที่ 50 ล้านบาท ในปีนี้จากปีก่อน 10 ล้านบาท แต่ในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์คงใกล้เคียงปี 49 ที่ 600 กว่าล้านบาท เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นซบเซาและยังมีปัจจัยกดดันทั้งซับไพร์ม และราคาน้ำมัน
สำหรับวอลุ่มเทรดในปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท
"ปีนี้ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความผันผวนมากเป็นประวัติการณ์ขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด 300 จุด ถือว่าผันผวนมาก และจากประเด็นที่ไม่เคยคิดมาก่อน ไม่ว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นสูง และผลกระทบซับไพร์มที่ต่อเนื่องมายังประเทศไทย ซึ่งถือเป็นความผันผวน...เป็นประวัติการณ์ใน 5 ปี แต่ปีหน้าความผันผวนยังมีแต่คงลดลง" นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ในปี 51 คาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศยังคงเข้ามาแต่จะเป็นลักษณะการเข้าและออกเร็ว และ Hedge Fund จะเข้ามีบทบาทมากขึ้น และเป็นลักษณะ Trading Marketing มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายตลาดหุ้นก็จะฟื้นตัวได้ในระยะสั้น
สำหรับกลุ่มหุ้นที่มองและแนะลงทุนในปีหน้า ได้แก่ ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีการตั้งสำรองและเชื่อว่าสินเชื่อจะกลับมา ขณะที่กลุ่มพลังงานปีหน้าจะไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับปีนี้ เพราะราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงกว่า 100% ขณะที่ค่าเงินบาทในปีหน้าไม่น่าจะแข็งค่าไปกว่านี้ โดยมองค่าเงินบาทครึ่งแรกของปีทรงตัว 33-34 บาท/ดอลลาร์
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--