บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ของ MINT ครั้งที่ 1/2561 กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 5.85% ต่อปี ใน 5 ปีแรก หลังจากนั้นจะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยส่วนเพิ่ม จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาทสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน และ 1 แสนบาทสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิที่จะไถ่ถอนหุ้นกู้ดังกล่าวได้ก่อนกำหนด หลังครบอายุ 5 ปี หรือตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในร่างหนังสือชี้ชวน โดยคาดว่าจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 24-27 ก.ย. 2561 และแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB+ โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 61
บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้เดิมของบริษัท และ/หรือ ใช้ในการลงทุน และ/หรือ ใช้ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
บริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา ให้เช่าศูนย์การค้า ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า ทั้งในประเทศไทย และอีก 39 ประเทศ อาทิ โรงแรมภายใต้แบรนด์ "อนันตรา" "อวานี" "ทิโวลี" "โอ๊คส์" "โฟร์ซีซั่น" "เซ็นต์รีจีส" เป็นต้น อีกทั้ง ร้านอาหารภายใต้แบรนด์ "เดอะ พิซซ่า คอมปานี" "สเวนเซ่นส์" "เดอะ คอฟฟี่ คลับ" "แดรี่ควีน" "ซิซเล่อร์" "เบอร์เกอร์คิง" เป็นต้น รวมถึงธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ "ESPRIT" "BOSSINI" "Charles and Keith" "Anello" "OVS" เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนใน เอ็นเอ็ช โฮเทล กรุ๊ป ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในยุโรป
ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 60 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 57,569 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 5,415 ล้านบาท และผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 61 อยู่ที่ 30,905 ล้านบาท เติบโต 8.92% เทียบกับชวงเดียวกันของปีก่อน และผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,985 ล้านบาท เติบโต 7.69% และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ที่ระดับ A แนวโน้ม (Stable) โดย บริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 61