นายเสกสรร อาตมางกูร กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61 จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หลังได้บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายจากวัตถุดิบคงคลังจำนวน 2,004 ล้านบาทไปแล้วทั้งหมดในไตรมาส 2/61 ขณะที่เตรียมเปิดโรงงานเมทิลเอสเทอร์ (ไบโอดีเซล) แห่งที่ 2 ในปลายเดือนส.ค.นี้ ซึ่งเป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ขณะที่ทั้งปี 61 รายได้มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 19,472 ล้านบาทในปีที่แล้ว จากปริมาณการผลิตไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้มีเป้าหมายการผลิตที่ระดับ 3.6 แสนตัน จากระดับ 3.2 แสนตันในปีที่แล้ว และมีโอกาสที่จะผลิตได้ถึงระดับ 4 แสนตัน ส่วนราคาจำหน่ายแม้ว่าอาจจะลดลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีลุ้นว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงไตรมาส 4/61
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโรงงานไบโอดีเซล แห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 2 แสนตัน/ปีในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ จากปัจจุบันที่โรงงานแห่งแรก มีกำลังการผลิต 3 แสนตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตรวมของไบโอดีเซลเพิ่มเป็น 5 แสนตัน/ปี อย่างไรก็ตาม โรงงานแห่งที่ 2 คาดว่าจะเดินเครื่องเต็มที่ในอีก 2 เดือนหลังจากเปิดดำเนินการ ซึ่งบริษัทก็จะได้ลดการผลิตไบโอดีเซลจากโรงงานแห่งแรกที่มีประสิทธิภาพด้อยกว่า และจะหยุดซ่อมบำรุงในบางช่วงด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าไบโอดีเซลอยู่ในประเทศทั้งหมด แม้ปริมาณการใช้ในประเทศจะเพิ่มขึ้นมากทุกปี แต่ก็จะอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างจำกัดแล้ว ทำให้บริษัทมองหาการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีศักยภาพในการเติบโต และการต่อยอดของธุรกิจ โดยล่าสุดการร่วมมือกับ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เพื่อดำเนินโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ในพื้นที่นำร่องจังหวัดนครสวรรค์นั้น บริษัทเตรียมสรุปแผนการลงทุนระยะแรกที่มีมูลค่า 7.5 พันล้านบาท เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน ก.ย.นี้
สำหรับโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhon Sawan Biocomplex :NBC) ระยะแรก จะประกอบด้วย โรงงานหีบอ้อย กำลังการผลิต 2.4 ล้านตันอ้อย/ปี , โรงงานเอทานอล ขนาด 6 แสนลิตร/วัน ,โรงไฟฟ้า ขนาด 85 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าโครงการระยะแรกจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63 หลังจากนั้นก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินโครงการในระยะที่สอง ซึ่งเป็นการต่อยอดในธุรกิจไบโอชีวภาพ