นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการ-นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทลุ้นผลประกอบการปีนี้จะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากในปีนี้บริษัทคาดว่าค่าการกลั่น (GRM) จะอยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าปีก่อนี่ 6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นกว่านี้อาจทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเข้ามาช่วยหนุนให้ผลประกอบการให้ทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน
ทั้งนี้ ทิศทางราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยทิศทางยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว รวมทั้งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวและเดินทาง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันอุปทานส่วนหนึ่งอาจจะหายไปจากประเทศเวเนซุเอลาและอิหร่านที่เผชิญกับการคว่ำบาตรจากสหรัฐ
"ปีก่อนผลประกอบการของบริษัททำสถติสูงสุดใหม่ ด้วยภาพรวมต่างๆ ที่ดีมากๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนน้ำมันที่นำเข้าโรงกลั่นที่ต่ำทำให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯอยู่ในระดับสูง ประกอบกับมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก ซึ่งปีนี้ด้วยต้นทุนน้ำมันที่นำเข้ามากลั่นสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าการกลั่นต่ำลง และแม้ว่าจะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน แต่ยังต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งยังต้องมาลุ้นในช่วงไฮซีซั่นว่าจะมีกำไรจากสต๊อกมากขึ้นหรือไม่"นายชัชชัย กล่าว
นายชัชชัย กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/61 ในวันที่ 27 ส.ค.พิจารณาอนุมัติการเข้าลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) หรือ โครงการ CFP มูลค่าการลงทุนราว 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ถือหุ้น หลังจากที่ได้พูดคุยกับบรรดากองทุนและผู้ถือหุ้นต่างๆ ในเบื้องต้นไปบ้างแล้ว
โครงการ CFP นั้นเป็นเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักที่มีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบชนิดเบาที่บริษัทฯกลั่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบลงได้ รวมถึงยังเป็นการอัพเกรดผลผลิตจากที่เคยได้น้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) สูงขึ้นจากปัจจุบันถึง 1 เท่าตัว และจะช่วยให้บริษัทฯมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเพิ่มขึ้นปีละ 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป
หากโครงการ CFP ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้วก็จะสามารถเดินหน้าการลงทุนตามขั้นตอนได้ทันที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกผู้รับเหมาคาดว่าจะตัดสินใจได้ภายในปีนี้ และเริ่มดำเนินโครงการในปี 62 ซึ่งจะใช้เวลาในการลงทุนและพัฒนาประมาณ 4-5 ปี และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/66 โดยจะเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมสรุปแผนการปิดหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบหน่วยที่ 3 ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อที่จะพัฒนาไปพร้อมๆกับกับโครงการ CFP เพื่อที่จะให้หน่วยผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงเดือน ธ.ค.นี้