นายเสกสรร อาตมางกูร กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 62 จากในงวดครึ่งแรกปีนี้ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1.79 พันล้านบาท หลังได้บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายจากวัตถุดิบคงคลัง ขณะที่บริษัทจะเร่งติดตามคู่กรณีเพื่อเรียกคืนค่าเสียหายจากวัตถุดิบคงคลังที่สูญหาย ซึ่งหากในไตรมาสต่อ ๆ ไป บริษัทสามารถดำเนินการไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการค้าหรือทางกฎหมายแล้วสามารถเรียกคืนส่วนที่เสียหายได้ ก็จะทำให้การตั้งสำรองประมาณ 1.9-2 พันล้านบาท กลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีหรือต่ำกว่า 1 ปี
"กรณีที่วัตถุดิบคงคลังหาย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เนื่องจากผิดกฎหมายทางอาญา และระหว่างนี้คณะกรรมการก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและคณะกรรมการลงโทษทางวินัย เพื่อดำเนินคดีดังกล่าวอยู่ ขณะเดียวกันเมื่อบริษัททราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดกับผู้ร่วมกระทำความผิด บริษัทก็ได้ดำเนินคดีไปแล้วในบางส่วน เพื่อเร่งรัดในการติดตามมูลค่าความเสียหายกลับคืนมา"นายเสกสรร กล่าว
นายเสกสรร กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61 จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หลังได้บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายจากวัตถุดิบคงคลังไปแล้วทั้งหมดในไตรมาส 2/61 ขณะที่เตรียมเปิดโรงงานเมทิลเอสเทอร์ (ไบโอดีเซล) แห่งที่ 2 ในปลายเดือนส.ค.นี้ ซึ่งเป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ประกอบกับได้รับการยกเว้นในเรื่องภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตลอดจนมีการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบดีขึ้นก็เชื่อว่าจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก
ส่วนทั้งปี 61 รายได้มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 1.95 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว จากปริมาณการผลิตไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้มีเป้าหมายการขายเติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากระดับ 3.4 แสนตันในปีที่แล้ว แต่ก็มีโอกาสที่จะขายได้ถึงระดับ 4 แสนตันในปีนี้ ส่วนราคาจำหน่ายแม้ว่าอาจจะลดลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีลุ้นว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงไตรมาส 4/61 ขณะที่ปริมาณขายผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.1 แสนตัน
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโรงงานไบโอดีเซล แห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 2 แสนตัน/ปีในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ จากปัจจุบันที่โรงงานแห่งแรก มีกำลังการผลิต 3 แสนตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตรวมของไบโอดีเซลเพิ่มเป็น 5 แสนตัน/ปี อย่างไรก็ตาม โรงงานแห่งที่ 2 คาดว่าจะเดินเครื่องเต็มที่ในอีก 2 เดือนหลังจากเปิดดำเนินการ ซึ่งบริษัทก็จะได้ลดการผลิตไบโอดีเซลจากโรงงานแห่งแรกที่มีประสิทธิภาพด้อยกว่า และจะหยุดซ่อมบำรุงในบางช่วงด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าไบโอดีเซลอยู่ในประเทศทั้งหมด แม้ปริมาณการใช้ในประเทศจะเพิ่มขึ้นมากทุกปี แต่ก็จะอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างจำกัดแล้ว ทำให้บริษัทมองหาการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีศักยภาพในการเติบโต และการต่อยอดของธุรกิจ โดยล่าสุดการร่วมมือกับ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เพื่อดำเนินโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ในพื้นที่นำร่องจังหวัดนครสวรรค์นั้น บริษัทเตรียมสรุปแผนการลงทุนระยะแรกที่มีมูลค่า 7.5 พันล้านบาท เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน ก.ย.นี้
สำหรับโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhon Sawan Biocomplex :NBC) ระยะแรก จะประกอบด้วย โรงงานหีบอ้อย กำลังการผลิต 2.4 ล้านตันอ้อย/ปี , โรงงานเอทานอล ขนาด 6 แสนลิตร/วัน ,โรงไฟฟ้า ขนาด 85 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าโครงการระยะแรกจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63 หลังจากนั้นก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินโครงการในระยะที่สอง ซึ่งเป็นการต่อยอดในธุรกิจไบโอชีวภาพ
นายเสกสรร กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 2.7 พันล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนปกติ 200 ล้านบาท และการลงทุนในโครงการพิเศษตามแผนกลยุทธ์จำนวน 2.5 พันล้านบาท โดยจะเป็นโครงการโรงงานไบโอดีเซลแห่งที่ 2 ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และโครงการไบโอคอมเพล็กซ์