นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวธุรกิจใหม่ "ไรส์ เวนเจอร์" ดำเนินธุรกิจโมเดลใหม่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้นเร็วขึ้น แต่มีความเสี่ยงน้อยลง โดยขณะนี้มีอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พร้อมขายและนำมาพัฒนาใหม่แล้วประมาณ 130 ล้านบาทในทำเลที่ลูกค้าต้องการ เช่น โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ตามเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 500-1,000 ล้านบาท/ปี
อนึ่ง ในเดือน มิ.ย.61 บริษัทจัดตั้งบริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ "ไรส์ เวนเจอร์"มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ประกอบธุรกิจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเหลือสินค้าคงค้าง เพื่อนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตอบสนองความต้องการของลูกค้า
"มองว่าเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างอัตรากำไรได้สูงและมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเน้นการลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง โดยจะเน้นทำเลที่ดีและมีความต้องการสูง อาทิ บริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน รวมถึงเข้าลงทุนตามคำสั่งซื้อของลูกค้าด้วย"นายธนากร กล่าว
ปัจจุบัน ไรส์ เวนเจอร์ เข้าทำสัญญาซื้อสินค้าในโครงการ HUE Sukhumvit จำนวน 30 ยูนิต และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อเพิ่มอีก 3-4 ราย จำนวนมากกว่า 10 ยูนิต ตั้งงบลงทุนราว 15% ของรายได้ ซึ่งมีลักษณะเป็นการชำระมัดจำและขายทันที ปัจจุบันมีสินค้าพร้อมขายในมือมูลค่ารวม 130 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้เริ่มดำเนินการมาในปี 60 ด้วยการเข้าซื้อโครงการ S15 จำนวน 30 ยูนิต มูลค่ารวม 300 ล้านบาท
นายธนากร กล่าวอีกว่า ออลล์ อินสไปร์ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และยื่นแบบคำขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ท้งนี้ ในปี 61 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 5 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 1.1 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 6.8 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มจะทยอยรับรู้ในปีนี้จนถึงปี 62 ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมราว 4.8 พันล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ จากที่บริษัทมีการพัฒนาโครงการแล้วรวม 16 โครงการ จำนวน 6,231 ยูนิต มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท