นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสวีไอ (SVI) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เป็น 15,800 ล้านบาท หรือ 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ 14,500 ล้านบาท หลังจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ในขณะเดียวกันยังมีกำลังการผลิตจากโรงงานแห่งใหม่ในประเทศสโลวาเกียที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงกลางปี และโรงงานใหม่ในประเทศกัมพูชาเริ่มผลิตมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัทได้อีกทางหนึ่ง
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยบริษัทมีคำสั่งซื้อในมือแล้ว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกันได้แก้ปัญหาด้านความขาดแคลนวัตถุดิบที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีได้แล้ว โดยบริษัทได้ซื้อวัตถุดิบตุนไว้รองรับการผลิตจนถึง ไตรมาส 4/61 แล้ว นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุน 30 ล้านบาท เพื่อที่จะพัฒนาระบบการซื้อขายเป็นแบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเชื่อว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 62 ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น และเลือกเวลาการซื้อวัตถุดิบได้เหมาะสม
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ 9% โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัททำได้แล้ว 8.48% และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทได้ซื้อวัตถุดิบในช่วงเงินบาทแข็งค่า ซึ่งได้ซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าไปจนถึงไตรมาส 4/61 ประกอบกับทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทยังคงราคาขายสินค้าไว้ในระดับสูงด้วย
"ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเรามีผลกระทบเรื่องของวัตถุดิบ แต่เราได้แก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ประกอบกับโรงงานใหม่ในประเทศสโลวาเกีย และประเทศกัมพูชา เข้ามาช่วยสนับสนุนคำสั่งซื้อที่เข้ามาจำนวนมาก จึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังทิศทางผลประกอบการจะเติบโตมากแน่นอนเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์สงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐนั้น ส่งผลให้ลูกค้าที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีนนั้นเริ่มย้ายคำสั่งซื้อมายังประเทศไทยมากขึ้น โดย SVI ก็เป็นบริษัทที่ได้รับการติดต่อมาจำนวนมากเช่นกัน โดยเบื้องต้นมีลูกค้าใหม่เข้ามาแล้ว 1 ราย และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 62
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 63 โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างมองหาการเข้าซื้อกิจการในประเทศสหรัฐ และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศเม็กซิโก ที่ปัจจุบันมีลูกค้ารองรับแล้ว แต่อย่างไรก็ตามบริษัทต้องมองหากิจการที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี และเหมาะสม ซึ่งยังคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรที่จะได้กิจการที่ดี