นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 147 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 152 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ยังไม่ถึงกำหนดส่งงบการเงิน) นำส่งผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 61 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.61 พบว่า บจ.ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 107 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด โดยมียอดขายรวม 88,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.91% จากปีก่อนหน้า ต้นทุนรวม 68,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.61% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 23.24% มาอยู่ที่ 22.12% อย่างไรก็ดี บจ. ยังคงมีกำไรสุทธิรวม 3,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.73%
"ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและขาย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม รวมถึง บจ. ที่ทำธุรกิจขนส่งที่มีต้นทุนการให้บริการสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน จากปัจจัยราคาน้ำมันและเงินบาทแข็งค่าในช่วงต้นปีทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมลดลง อย่างไรก็ตาม การที่ บจ. มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี และหลาย บจ. เริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตสูงขึ้น 39.73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบ 7 จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมมีผลการดำเนินงานดีขึ้น ยกเว้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่กำไรลดลง"นายประพันธ์ กล่าว
เมื่อพิจารณาฐานะทางการเงิน บจ. mai ช่วงครึ่งปีแรกมีสินทรัพย์รวม 264,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.74% จากสิ้นปี 60 ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.03 เท่า เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้วเล็กน้อย
ในไตรมาส 2/61 บจ. มียอดขายรวม 44,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนรวม 34,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.16% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 22.18% ลดลง 0.63% ในขณะที่กำไรสุทธิ 1,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.02%
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 152 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ส.ค.61) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 434.25 จุด ลดลง 19.64 % จากต้นปีนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 277,786 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,408 ล้านบาทต่อวัน