นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดฯขาดปัจจัยใหม่เข้ามา แต่ยังติดตามประเด็นสงครามการค้าอยู่ และล่าสุดความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วง 2 วันที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุป เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนอาจจะมีการขายเพื่อล็อคกำไรได้
นอกจากนี้ ช่วงนี้จะเห็นได้ว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมน้อยแต่ละวันเทรดต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน แสดงให้เห็นภาพการชะลอลงทุน และแม้ว่าตลาดบ้านเราจะปรับตัวลงแต่ก็เชื่อว่าจะไม่ลงแรง เพราะปัจจัยในประเทศยังดีอยู่
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ อาจจะผิดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป พร้อมให้ติดตามประเด็นการเมืองในสหรัฐฯด้วย
ทั้งนี้ให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,700-1,710 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,656.98 จุด ลดลง 76.62 จุด (-0.30%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,878.46 จุด ลดลง 10.64 จุด (-0.13%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,856.98 จุด ลดลง 4.84 จุด (-0.17%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 73.19 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.54 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 224.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 2.78 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 6.44 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 10.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.52 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ส.ค.61) ที่ระดับ 1,704.80 จุด เพิ่มขึ้น 6.50 จุด (+0.38%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.24 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ส.ค.61) ปิดที่ 67.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 3 เซนต์ หรือประมาณ 0.04%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ส.ค.61) ที่ 6.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.84 อ่อนค่าจากวานนี้ ตลาดรอติดตามท่าทีประธานเฟดในการประชุม"แจ็กสัน โฮล"คืนนี้
- 2 บริษัทยักษ์ใหญ่สร้างรถไฟฟ้าของจีนเข้าพบ"สมคิด"แจ้งความประสงค์สนใจลงทุนไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน-EEC-ท่าเรือระนอง "สมคิด-อาคม" มั่นใจงานกระทรวงคมนาคมไม่สะดุด แม้ 2 ผู้บริหารเตรียมยื่นใบลาออก"อุตตม"เตรียมรับคณะนักธุรกิจจีน 500 รายดึงลงทุน EEC เตรียมลงนามร่วมมือ MOU 17 ฉบับ
- มาตรการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น โดยการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ทางการค้ารอบที่ 2 เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่อัตรา 25% กับสินค้านำเข้า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.24 แสนล้านบาท) หลังเก็บภาษีกับสินค้าล็อตแรก 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.1 ล้านล้านบาท) ไปเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการกระจายตัวเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการบริโภคภาคเอกชนกระจายตัว และการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลงไปสู่ฐานราก นอกจากนี้ สินเชื่อเริ่มขยายตัวในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เพิ่มมากขึ้น สะท้อนการกระจายตัว
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ กำลังจับตาผลกระทบจากสงครามการค้าโลกที่มีต่อผู้ส่งออกไทยอย่างใกล้ชิด โดยยอมรับว่าการส่งออกในครึ่งปีหลังน่าจะชะลอตัวเหลือเติบโต 7% ต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่โตเกิน 10% เนื่องจากครึ่งปีแรกผู้นำเข้ามีการสั่งสินค้าจากไทยเข้าไปสต๊อกล่วงหน้าจำนวนมาก โดยเฉพาะจากสหรัฐเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าที่จะมีการขึ้นภาษีมาภายหลัง
*หุ้นเด่นวันนี้
- PRM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท แนวโน้ม H2/61 จะโดดเด่นจาก (1) การรวมธุรกิจกับ Big Sea ทำให้กำไรสุทธิรายไตรมาสเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% (2) ธุรกิจที่เคยถ่วงทั้ง Oversea และ FSU กลับมาทำกำไรหมดแล้ว (3) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน และการลงทุนของกลุ่มพลังงานที่กำลังกลับมา โดยคาดกำไรทั้งปี 820 ลบ. +14% Y-Y ด้าน PE2561-62 เพียง 18-22 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 33 เท่า ทั้งที่สามารถสร้าง ROE ได้สูง 14% มากกว่าภูมิภาคที่ทำได้เพียง 7%
- BCH (ทรีนีตี้) "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" เป้า 19.50 บาท หลังราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยยังชอบ BCH เนื่องจากเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รับประโยชน์จากการปรับเพิ่มเงินค่าประกันตนโดย SSO สูงที่สุด ด้านการเติบโต CAGR ของรายได้และกำไรอยู่ที่ 7.9% และ 11.4% ตามลำดับ โดยมีโครงการยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลทุกแห่งในกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการเติบโตของรายได้อย่างมีเสถียรภาพ และปี 61 จะเป็นปีแรกที่มีการรับรู้รายได้จาก SSO ในอัตราใหม่เต็มปีเป็นปีแรก ทั้งนี้ BCH ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.11 บาท/หุ้น จะขึ้น XD วันนี้ (24 ส.ค. 2561)
- BA (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 19 บาท ปี 61 คาดจะพลิกมีกำไรปกติ 1,226 ลบ.จากปี 60 ขาดทุนปกติ 800 ลบ. จากเทรนด์การท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงโตอย่างแข็งแรง บวกกับ กลยุทธ์การตลาดที่เข้มข้นขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเส้นทางใหม่และความถี่ในเส้นทางบินเดิม อีกทั้งยังมีการเพิ่มสายการบินพันธมิตรทั้ง Code Share Agreement และ Interline Partner ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น วงเงินสูงสุด 500 ลบ.