บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) มั่นใจว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน เนื่องจากปีนี้ไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น อีกทั้งบริษัทจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินราว 160 ล้านบาท ขณะที่ผลดำเนินงานปกติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะออกมาใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ พร้อมคาดว่า Market GIM เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
บริษัทยังเตรียมสรุปการเจรจาซื้อกิจการ (M&A) ในช่วงไตรมาส 4/61 จำนวน 1 รายเพื่อต่อยอดการขายผลิตภัณฑ์
นางรัชดาภรณ์ ราชเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน IRPC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจปีนี้กำไรสุทธิจะเติบโตดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.13 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิแล้ว 6.8 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้ไม่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่เหมือนในปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถเดินเครื่องกำลังการผลิตได้เต็มที่ 2.1 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อน 1.5 แสนบาร์เรล/วัน
นอกจากนั้น บริษัทยังจะบันทึกกำไรพิเศษ 160 ล้านบาทจากการขายที่ดิน 2,152 ไร่ให้กับบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นระหว่าง IRPC กับบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) คาดว่าจะรับรู้เข้ามาได้ในไตรมาส 3/61 โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จในไตรมาส 3/61 คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้และกำไร รวมถึงปันผลในอีก 2 ปีข้างหน้า
นางรัชดาภรณ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีหลังเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจเพราะมีฝนตกค่อนข้างมากส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและปิโตรเลียมปรับตัวลดลง แต่ในช่วงไตรมาส 4/61 ก็จะกลับเข้ามาผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขายช่วงเทศกาลทั้งในปีนี้และต้นปีหน้า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่มองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และทั้งปีก็น่าจะอยู่ในระดับดังกล่าวได้ เนื่องจากกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกยังสามารถควบคุมกำลังการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลทำให้บริษัทยังมีกำไรจากการสต็อกน้ำมันอยู่
"ครึ่งปีหลังนี้คาดว่าปริมาณการขายน่าจะปรับตัวลดลง จากเป็นช่วงของไฮซีซั่น แต่ในไตรมาส 4/61 จะกลับเข้ามาผลิตได้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขายในช่วงเทศกาลและต้นปีหน้า ซึ่งมองว่าหากเทียบกับครึ่งปีแรกก็น่าจะใลก้เคียงกัน ไม่ต่างกันมากนัก"นางรัชดาภรณ์ กล่าว
สำหรับงบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้ที่ 2 พันล้านบาทเพื่อใช้ในการซ่อมบำรุงปกติ ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่จะเป็นปี 62 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอยู่ราว 3.5 หมื่นล้านบาทในโครงการ MARS ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขนาดการผลิต จากเดิมจะผลิตพาราไซลีน 1 ล้านตันต่อปี เพิ่มเป็น 1.1-1.3 ล้านตันต่อปี และผลิตเบนซินเพิ่มเป็น 3-5 แสนตันต่อปี จากเดิมที่ 3 แสนตันต่อปี โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด คาดว่าการออกแบบด้านวิศวกรรมโครงการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และจะนำเสนอต่อคณะกรรมการเพื่ออนุมัติก่อนจะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้างต่อไป โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี และน่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 65
ส่วนความคืบหน้าแผนเข้าซื้อกิจการภายใต้โครงการ Galaxy คาดว่าในไตรมาส 4/61 จะได้เห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ราย ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่ช่วยต่อยอดด้านการตลาดให้กับบริษัท
นางรัชดาภรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ในปี 63 ที่ระดับ 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเป็นผลจากโครงการ EVEREST FOREVER คาดว่าในปี 61-62 จะช่วยสร้าง EBITDA เพิ่ม 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการ IRPC 4.0 ที่จะดำเนินการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตและการทำตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งจะช่วยสร้าง EBITDA จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ที่สามารถรองรับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตได้ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัทให้ครอบคลุมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เบื้องต้นคาดว่าจะมีความามชัดเจนภายในปี 61 โดยจะเป็นการช่วยสร้างสร้าง EBITDA จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะที่ โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานโอเลฟินส์เพื่อเพิ่มการผลิตอีกราว 50% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบและศึกษาความเป็นไปได้ โดยเบื้องต้นผลการศึกษายังคงให้อัตราตอบแทนไม่ได้เท่าที่ควรเมื่อเทียบกับเงินลงทุน จึงทำให้บริษัทจะต้องชะลอการลงทุนโครงการดังกล่าวออกไปก่อน