นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ (GULF) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61 คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังจากที่ไตรมาส 2/61 ขาดทุน 438 ล้านบาทเพราะได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปราว 1.2 พันล้านบาท แต่ในไตรมาสนี้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นแล้ว ขณะที่รายได้ของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่กว่า 4,000 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 11,000 เมกะวัตต์ภายในปี 67 โดยบริษัทยังคงเดินหน้าหาโอกาสลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโครงการที่จะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ คือ การประมูลโรงไฟฟ้าก๊าซในโอมาน กำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสรุปผลในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้
นางพรทิวะ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้มากที่บริษัทจะชนะการประมูลโรงไฟฟ้าในโอมานครั้งนี้ ซึ่งการลงทุนจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นของโอมาน โดยจะใช้เงินลงทุนกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม 30 เมกาวัตต์ ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้าง
ส่วนประเด็นความสนใจในการเข้าลงทุนในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) นางพรทิพา กล่าวยอมรับว่า บริษัทได้รับการติดต่อมาและก็มีการพิจารณาในการลงทุน เพราะมองว่าวินด์ฯมีโครงการที่มีศักยภาพ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้เข้าไปเจรจาในรายละเอียดหรือศึกษาการลงทุนใน WEH อย่างจริงจัง ขณะที่ในแต่ละวันก็มีผู้ยื่นอเสนอโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าต่างๆ มาให้บริษัทพิจารณามากกว่า 10 โครงการ/วัน ซึ่งมีจำนวนที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน 2-3 เท่า ซึ่งบริษัทจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเข้าลงทุน
สำหรับการนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติในงาน Thailand Focus 2018 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 ส.ค.นี้ จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามารับฟังข้อมูลของบริษัท และทำให้นักลงทุนต่างชาติรู้จักบริษัทมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเป็นนักลงทุนในประเทศเกือบ 100%
ด้านแหล่งข่าวจาก GULF เปิดเผยเกี่ยวกับความสนใจในการลงทุนใน WEH ว่า วินด์ฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศที่มีความน่าสนใจ และมีศักยภาพ สามารถนำมาต่อยอดการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศได้ หลังจากที่ GULF ได้เข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามแล้ว และมองว่าการลงทุนในWEH น่าจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมา หากสามารถเข้าซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม
โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับการติดต่อจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่เสนอให้เข้าไปซื้อหุ้นสัดส่วน 60% ใน WEH ซึ่งบริษัทก็มีความสนใจ แต่เรื่องยังไม่คืบหน้าไปถึงขั้นตอนการศึกษาและการทำ Due Diligent และก่อนหน้านี้มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์รายหนึ่งที่ทำธุรกิจวิศวกรรมไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในไทยและต่างประเทศได้แสดงความสนใจเข้าไปเช่นเดียวกัน
การเข้าไปถือหุ้น WEH ยังต้องใช้ระยะเวลาการพิจารณาอีกสักระยะหนึ่ง เพราะต้องมีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม และการเจรจากับผู้ถือหุ้นเดิมของ WEH ที่ยังมีข้อพิพาทกับกลุ่มผู้ถือหุ้นปัจจุบัน ซึ่งหากบริษัทได้รับราคาเสนอขายที่เหมาะสมสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาให้ในระดับที่ดีได้ บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าลงทุนใน WEH ทันที โดยคาดว่าดีลดังกล่าวจะได้ข้อสรุปอย่างเร็วที่สุดภายในไม่เกินสิ้นปีนี้
แหล่งข่าว เปิดเผยอีกว่า เบื้องต้นการเข้าซื้อหุ้น WEH ในสัดส่วน 60% ได้เสนอมูลค่าไปที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าบริษัทจดทะเบียนอีกรายที่ผู้สนใจอีกเสนอราคาเข้าซื้อรายแรกที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกรายที่เสนอราคาไป 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดีลดังกล่าว SCB ประเมินมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับมูลหนี้ที่ทาง WEH ได้กู้ยืมไปใช้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยที่ทางผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ WEH มองว่าราคาที่ GULF เสนอไปยังไม่สามารถรองรับการชำระหนี้ได้ ทำให้จะต้องมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมของราคาเสนอซื้อและขายเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจมากที่สุด
"บริษัทจะต้องพิจารณาราคาซื้อที่มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้บริษัทไม่เร่งรีบตัดสินใจ แม้ว่าโรงไฟฟ้าของวินด์ฯ จะมีศักพยภาพ แต่การลงทุนจะต้องเกิดความคุ้มค่าและบริษัทจะต้องได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีด้วย"แหล่งข่าว กล่าว