DIGI ล้างบ้านเคลียร์ธุรกิจอสังหาฯ ปรับแผนงานครั้งใหญ่รุก e-Business สรุปก.ย.หวังพลิกเป็นกำไรในปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 27, 2018 11:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอมฤต ศุขะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต (DIGI) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอินโฟเควสท์"ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาธุรกิจหลังจากถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นเครื่องหมาย C ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำเงินไปใช้แก้ปัญหาหนี้ระยะสั้น ซึ่งจะทำให้เริ่มเป็นผลขาดทุนลดลงตั้งแต่ไตรมาส 3/61 พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจ e-Business เต็มตัว โดยอยู่ระหว่างปรับแผนงานครั้งใหญ่ที่น่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ย.นี้ หวังพลิกฟื้นผลประกอบการเป็นกำไรในปีหน้า

ซีอีโอ DIGI กล่าวว่า หลังเข้ามาบริหารงานตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด โดยขายโครงการ ABOVE 39 ที่บริษัทเข้าไปลงทุนไปด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขายดังกล่าวมาชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) มูลค่าราว 450 ล้านบาท และบางส่วนจะไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คงค้างอยู่ หลังจากดำเนินการต่างๆ แล้วเสร็จจะส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดราว 200 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินงานต่อไปจากนี้ ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเหลืออยู่เพียงอาคารออฟฟิศเพื่อเช่า ABC WORLD เพียงแห่งเดียว ซึ่งเหลือระยะเวลาเช่าอยู่ 27 ปี ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ต้องการเช่าพื้นที่ทั้งรายใหญ่ รายกลางและรายเล็ก แต่ยังติดประเด็นที่ทำเลที่ตั้งของอาคารเป็นแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ปี ลูกค้าจึงอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะเข้ามาเช่าพื้นที่ทันที หรือเข้ามาเช่าเมื่อโครงการรถไฟฟ้าใกล้แล้วเสร็จ โดยปัจจุบันมีอัตราการเช่าราว 30%

"ตอนนี้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เราจะเหลือเพียงอาคารออฟฟิศเพื่อเช่า ABC WORLD ซึ่งตอนนี้เราก็มีการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ๆเข้ามา โดยลูกค้ารายใหญ่ก็จะมาในรูปแบบของการเป็นพาร์ทเนอร์กัน เนื่องจากปัจจุบันตึกค่อนข้างเก่าแล้ว ซึ่งเข้ามาก็ต้องมีการคุยกันว่าจะทำยังไงตกแต่งยังไงและธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นยังไง ก็คุยอยู่หลายเจ้าเพราะส่วนใหญ่ก็ติดเงื่นไขของเวลา เพราะพึ่งจะเริ่มสร้างรถไฟใต้ดิน หลายๆ คนบอกว่าอีก 5 ปี ตึกนี้ดีเลย แต่เขาก็ต้องดูว่าจะเข้าตอนนี้หรือตอนไหน ซึ่งก็เป็นอะไรที่เราต้องคุย แต่เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจหลักแต่เป็นธุรกิจที่ทำกันมาอยู่แล้วเราต้องแก้ไขมันต่อไป" นายอมฤต กล่าว

สำหรับธุรกิจ e-Business จะเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในระยะต่อไป ปัจจุบันบริษัทมีบริการที่พึ่งพิงระบบเครือข่าย แบ่งเป็น WeChatPay ที่เริ่มดำเนินการมาราว 2-3 ปี ขณะที่ Alipay เริ่มในปีนี้ ปัจจุบันบริษัทฯต้องกลับมาปรับแผนใหม่ทั้งหมดเพื่อแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ที่เข้ามารุกตลาดนี้เช่นกัน โดยบริษัทฯจะเน้นการเจรจากับร้านค้าต่างๆที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 ราย ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อที่จะหรับแผนใหม่ทั้งหมด ในส่วนของร้านค้ารายใหม่นั้นบริษัทฯก็จะเน้นลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ หรือผู้ที่มีการขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากๆ โดยบริษัทฯจะมองหาการเข้าถึงกลุ่มร้านค้าที่ทางธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้เข้าไปถึงในจุดนั้น

"ธุรกิจนี้ก็คือผูกกับคนจีนเป็นหลัก พอนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาก็จ่ายเงินผ่านบริการนี้เราก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้เข้ามา ก็ดูว่าเหมือนเป็นธุรกิจที่ดีแต่ความเป็นจริงก็ยังมีความท้าทายอยู่เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เข้ามาเล่นด้วย ซึ่งเราก็ต้องหาจุดที่เราแข็งแรงและเราก็มีการเจรจากับพันธมิตรให้จับมือกันเหนียวแน่น โดยในส่วนของธุรกิจนี้ยังถือว่าสามารถทำเงินได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลขาดทุนจริงๆจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า ขณะที่ธุรกิจ e-Business ก็ยังไม่ได้ใหญ่มากด้วย"นายอมฤต กล่าว

นายอมฤต กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานได้ทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับแผนภายในทั้งหมด และคาดว่าแผนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าผลประกอบการจะเริ่มมีผลขาดทุนที่น้อยลงตั้งแต่ไตรมาส 3/61 หลังจากที่บริษัทฯจัดการปัญหาเรื่องหนี้ระยะสั้นและค่าใช้จ่ายต่างๆเสร็จ

สำหรับแผนการดำเนินงานใหม่นั้นจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ทิศทางการประกอบธุรกิจจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่าจะไปในทิศทางได และเชื่อว่าด้วยการปรับปรุงภายในใหม่ แผนการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ แต่ยังเน้นในกลุ่มธุรกิจ e-Business จะเห็นผลได้ในปี 62 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับเป็นกำไรได้ ซึ่งการเติบโตในธุรกิจ e-Business จะต้องหาพันธมิตรเข้ามาช่วยพัฒนาและร่วมลงทุน เพื่อให้มีการเติบโตได้ทันกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของผู้บริโภค

"ในปี 62 จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และยังไงผลประกอบการจะต้องกลับมาเป็นบวก ซึ่งการเติบโตจะมาจาก E-Business เหมือนกันแต่เราจะเปลี่ยนมัน ตอนนี้เราก็มีการคุยกับพันธมิตรต่างๆ ร่วมลงทุนเพราะสิ่งพวกนี้สร้างจากศูนย์เนี่ยยากมาก ซึ่งตอนนี้เราก็หาโอกาสอยู่ โดยตอนนี้ในตลาดมีทั้งเจ้ากลางเจ้าเล็กที่ทำอยู่ มีคนที่มีความรู้มีประสบการแต่ขาดเงินทุน แบบนี้เราก็สามารถเข้าไปจับมือกับเค้าได้ อันนี้ก็เป็นหลักที่เราจะพยายามทำ"นายอมฤต กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ