นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) คาดว่าจะนำ BGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในปีนี้ หลังจากล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ BGC เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
BGC เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 194.44 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 28% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ซึ่งมีการจัดสรรหุ้น จำนวนไม่เกิน 19,444,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายครั้งนี้ให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของกลุ่มบริษัท
การระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำมาชำระเงินกู้ยืมสำหรับการขยายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ใน จ.ราชบุรี และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ BGC ผู้ผลิต จัดจำหน่าย ส่งออก และนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้ว กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปชำระเงินกู้ยืมสำหรับการขยายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ในจ.ราชบุรี ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 2.5 พันล้านบาท โดยจะนำไปใช้คืนหนี้บางส่วน
โรงงานดังกล่าวจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปีนี้ และจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 400 ตันต่อวัน รวมเป็น 3.49 ตันต่อวัน โดยโรงงานดังกล่าว ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 11 จากปัจจุบัน BGC มีบริษัทย่อยที่ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว 6 บริษัท มีเตาหลอมแก้วรวมทั้งสิ้น 10 เตา กำลังการผลิตรวม 3.09 ตันต่อวัน
ทั้งนี้ จุดเด่นของบริษัทคือการมีโรงงานผลิตกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ เช่น จ.ปทุมธานี, ขอนแก่น, พระนครศรีอยุธยา, และปราจีนบุรี ส่งผลดีต่อการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ การบริหารต้นทุนโลจิสติกส์ได้ดี และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้จำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วเพียงรายเดียวให้แก่กลุ่มบุญรอด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่ม เบียร์ และโซดารายใหญ่ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ อาหาร, Soft Drinks, สารเคมี เป็นต้น
ขณะที่ บริษัทเชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเทรนด์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วกลับมารีไซเคิลได้ทั้งหมด และยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีข้อจำกัดในการเข้าแข่งขันสูง (High barrier to entry) เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในช่วงต้นไตรมาส 4/61 โดยภายหลังจากที่เข้าจดใน SET จะส่งผลให้หนี้สินต่อทุนปรับตัวลดลง (D/E) มาอยู่ที่ระดับ 2 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.3 เท่า ขณะที่ก็วางเป้าหมายการดำเนินงานในระยะ 2-3 ปี หรือปี 62 เป็นต้นไป บริษัทฯ คาดหวังจะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มเป็น 10% และในอีก 5-10 ปี จะเพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6-7% ของรายได้รวม โดยมองโอกาสในการขยายเข้าไปในกลุ่มประเทศ CLMV เช่น เวียดนาม เมียนมา รวมถึงประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และตลาดยุโรป
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่ารายได้น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5.06 พันล้านบาท เนื่องจากปีก่อนมีการปิดโรงงานผลิตที่จ.ระยอง จำนวน 1 แห่ง ทำให้กำลังการผลิตทำได้ใกล้เคียงเดิม ขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี บริษัทฯ มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 10%
"บริษัทมีวิสัยทัศน์จะก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งอาจมองถึงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกันด้วยในอนาคต โดย BGC มีความสามารถเชิงการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันแบ่งบรรจุภัณฑ์แก้วที่ผลิตออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ขวดเบียร์ 2.ขวดเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ 3.ขวดอาหาร 4.ขวดยาและยาฆ่าแมลง และ 5.ขวดผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องดื่มที่ให้พลังงาน สุรา ฯลฯ"