นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของ CPF ในอนาคตจะมาจากกิจการในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่มั่นใจผลดำเนินงานของครึ่งหลังปี 61 ดีกว่าช่วงครึ่งแรก ปัจจัยหลักจากผลดำเนินงานของธุรกิจสุกรในเวียดนามที่ราคาสุกรในประเทศ และธุรกิจสัตว์น้ำมีแนวโน้มผลดำเนินงานดีต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งปีแรก
ภายใน 5 ปีจากนี้ บริษัทประเมินสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น 70% ขณะที่รายได้จากประเทศไทยและส่งออกจะเหลือ 30% สำหรับในปีนี้ยอดขายจากกิจการในต่างประเทศของ CPF น่าจะอยู่ที่ 67-68% เพิ่มจาก 64% ในปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้ที่เป็นยอดขายจากประเทศไทย 32-33%
"ทิศทางการสร้างการเติบโตในระยะต่อไป ซีพีเอฟจะให้น้ำหนักกับการขยายการผลิตเพื่อการส่งออกในกิจการต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่ผลิตและขายภายในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก รวมทั้งเพิ่มการส่งออกจากประเทศประเทศไทย ที่ปัจจุบันเป็นฐานผลิตส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลกแล้ว เพื่อสร้างการเติบโตของซีพีเอฟในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมาย" นายสุขสันต์กล่าว
ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการลงทุนขยายธุรกิจไก่ครบวงจรเพื่อการส่งออกในเวียดนาม ใช้งบลงทุน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะก่อสร้างโรงงานแปรรูปไก่ และธุรกิจครบวงจร ทั้งโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ ฟาร์มเลี้ยงไก่ ตั้งอยู่ในบินเดือง ทางตอนใต้ของเวียดนาม ซึ่งโรงงานแปรรูปไก่จะแล้วเสร็จปลายปี 62 เน้นส่งออกไปยังตลาดในภูมิภาคเอเชีย อย่างเช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น
ปัจจุบันการลงทุนของ CPF ใน 16 ประเทศ สามารถครอบคลุมประชากรกว่า 4,000 ล้านคน และรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากต่างประเทศ อาทิ จีน เวียดนาม ทั้งนี้ ผลดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 61 กิจการในต่างประเทศมีผลดำเนินงานดีและทำกำไร รวมทั้ง ฟิลิปปินส์ และอินเดีย รวมถึง ธุรกิจในตุรกี หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจมาเน้นอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปมากขึ้น ปีนี้ก็กลับมามีกำไรจากที่เคยขาดทุนติดต่อกัน 7-8 ปี
สำหรับผลประกอบการของ CPF ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในอีกสองไตรมาสที่เหลือของปีนี้น่าจะเติบโตดีกว่าโดยช่วงครึ่งปีแรกที่สามารถทำยอดขายรวม 259,478 ล้านบาท โดยจะมาจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจสุกรในเวียดนามที่กลับสู่ภาวะปกติตั้งแต่ไตรมาส 2/61 รวมทั้งธุรกิจสัตว์น้ำที่มียอดขายเติบโตดีทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศหลักๆ ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย และไทย ซึ่งทั้งสองปัจจัยหลักมีทิศทางที่จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าผลดำเนินงานตลอดทั้งปี 61 นี้จะเติบโตดีกว่าปีที่แล้ว ประมาณ 5-8% ตามเป้าหมายที่วางไว้