นายรามี ปีไรแนน ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 7-9% โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจค้าปลีก (BIG C) ราว 70%, ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง 13%, ธุรกิจอุปโภคบริโภค 11% และธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค 8%
ทั้งนี้ บริษัทมองแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังนี้น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ของบิ๊กซีในครึ่งปีหลังนี้น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ จากไตรมาส 2/61 ติดลบ 0.2% และทั้งปีน่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อน เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4/61 เนื่องจากมีเทศกาลต่างๆ ค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเตรียมขยายสาขาบิ๊กซีเพิ่มเติมอีก แบ่งเป็น บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) จำนวน 5 สาขา จากเป้าทั้งปี 8 สาขา และ มินิ บิ๊กซี จำนวน 150 สาขา จากเป้าหมาย 200 สาขา วางงบลงทุนรวมทั้งปีไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 143 สาขา และมินิ บิ๊กซี จำนวน 691 สาขา
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเปิดสาขาในรูปแบบใหม่ BIG C Food Place เจาะกลุ่มลูกค้าในเมือง เน้นการจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทาน อาหารออร์แกนิกส์ เป็นต้น โดยมีแผนเปิดสาขาแรกในเดือน ต.ค.นี้ที่บางซื่อเกตเวย์ และสาขาที่สองที่สามย่าน มิตรทาวน์ในไตรมาส 4/62 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตมากขึ้น วางงบลงทุน 40 ล้านบาท/สาขา
สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง บริษัทเตรียมเปิดดำเนินการเตาหลอมแก้วโรงผลิตแห่งที่ 5 กำลังการผลิต 400 ตันต่อวัน คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/61 คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3,025 ตันต่อวัน ด้านธุรกิจอุปโภคบริโภคในครึ่งปีหลังนี้ก็นาจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการออกสินค้าใหม่ๆ และแคมเปญกระตุ้นยอดขาย คาดว่าจะช่วยเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้
นายรามี กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 2 หมื่นล้านบาทในปี 62 เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 3% และมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท