นางสาวสุนทรียา วงศ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชีและการเงิน บมจ.จี เจ สตีล (GJS) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การที่หุ้นบริษัทถูกขึ้นเครื่องหมาย C เป็นเพราะมีฐานะการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนชำระแล้วหลังหักส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รามถึงการหาแนวทางในการล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ทั้งหมด 20,706 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม อาทิ การลดพาร์ เป็นต้น โดยบริษัทจะสรุปแผนต่าง ๆ อย่างช้าที่สุดในเดือน พ.ย.นี้ และจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดภายใน 12 เดือน
"หากมองถึงพื้นฐานของ GJS แล้วยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยกฎใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะเห็นว่าเราถูกขึ้นเครื่องหมาย C ซึ่งตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อที่จะให้บริษัทกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังจากที่บริษัทแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างมาโดยตลอดแต่ก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจเข้ามาซ้ำเติมอีก"นางสาวสุนทรียา กล่าว
นางสาวสุนทรียา กล่าวว่า สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะออกมาเป็นกำไรได้อย่างแน่นอน แม้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะมีผลขาดทุนสุทธิ 84.63 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 3/61 คาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงมาต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2/61 แต่เชื่อว่าจะเป็นผลกระทบที่ไม่มากนักแล้ว และในช่วงทื่เหลือของปีราคาเหล็กก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งค่าขึ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปริมาณขายเหล็กปีนี้จะอยู่ที่ 1.5-1.6 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 8 แสนตัน หรือมีรายได้มากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 16,265.58 ล้านบาท โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับปรุงให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลงมาอยู่ที่ 0.4 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนที่จะไปขยายกำลังการผลิต และเพิ่มยอดขาย โดยในปีนี้โรงงานของบริษัทสามารถผลิตได้ราว 8 แสนตัน และส่วนที่เหลือเป็นการจ้าง บมจ.จี สตีล (GSTEL) ราว 6-7 แสนตัน
"ที่ผ่านมาเราได้มีการปรับตัวเองมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของ D/E ที่ปัจจุบันเราลดลงมาอยู่ที่ 0.4 เท่า ซึ่งในอุตสาหกรรมหนักอย่างเราถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก และก็ทำให้เรามีเงินทุนหมุนเวียนที่จะทำให้เราสามารถซื้อวัตถุดิบ และขยายกำลังการผลิตของบริษัทได้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้เองก็จะเห็นว่ายอดผลิตเรามากกว่าปีก่อนถึงเกือบ ๆ เท่าตัว และได้แสดงให้เห็นแล้วตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา"นางสาวสุนทรียา กล่าว
นางสาวสุนทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 62 บริษัทจะกลับมาผลิตเต็ม 100% หรือที่ราว 1-1.1 ล้านตัน จากปีนี้ที่บริษัทเริ่มมีการปรับปรุงเครื่องจักรต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งานและไม่ได้ผลิตเต็มที่มาเป็นระยะเวลานานให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และในปี 62 จะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งการมีต้นทุนคงที่และกำลังการผลิตที่เต็มประสิทธิภาพจะช่วยให้มาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย
"ปีหน้าหาก GSTEL กำลังการผลิตไม่เต็มเราก็ยังจะจ้างเขาผลิตอยู่ ซึ่งจะเป็นปีที่เรากลับมามีกำลังการผลิตเต็มปีเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 43 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่า GJS ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายตลาดส่งออกเพิ่มเติมจากเดิมที่ขายเพียงในประเทศเท่านั้น โดยปัจจุบันขายไปยังภูมิภาค ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย และเวียดนาม"นางสาวสุนทรียา กล่าว