นายวศิน วัฒนวรกิจกุล Managing Director, Head of Business Distribution บลจ.บัวหลวง (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments) เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับของนักลงทุนที่เลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Real Estate & Infrastructure Investment ของกองทุนบัวหลวง โดยการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) นับเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เหมาะกับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในระยะยาว เพราะมีศักยภาพในการเติบโต มีความมั่นคงของรายได้สุทธิ ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตไปพร้อมๆ กับธุรกิจ ภายใต้ความเสี่ยงที่ไม่สูงเกินไป
"ในการลงทุนนั้น นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้สินทรัพย์แต่ละประเภทได้ทำหน้าที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ลงทุนได้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ การลงทุนในหุ้นสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่เติบโตดี แต่โอกาสก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ความเสี่ยงต่ำกว่า ซึ่งแน่นอนผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการทางเลือกในการลงทุนที่อยู่กึ่งกลาง คือ โอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันมีโอกาสเติบโตไปพร้อม ๆ กับธุรกิจ เรามองว่า การเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสม" นายวศิน กล่าว
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์และบริการในกลุ่มธุรกิจ Real Estate & Infrastructure Investment ของกองทุนบัวหลวง ครอบคลุมกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกของไทย ถัดมา คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) รวมทั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ (BRRGIF) ในปัจจุบันทั้ง 3 กองทุนนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารงานของกลุ่มธุรกิจนี้ รวมทั้งสิ้น 129,300 ล้านบาท แบ่งเป็น BTSGIF ประมาณ 66,600 ล้านบาท JASIF 59,000 ล้านบาท และ BRRGIF 3,700 ล้านบาท (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2561)
อีกทั้ง ยังมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ซึ่งได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารโครงการศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต โดยปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 6,800 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2561)
นอกจากนี้ กองทุนบัวหลวงยังเป็นผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บัวหลวง ออฟฟิศ (B-WORK) ซึ่งนับเป็นกองทรัสต์ประเภท Office REIT แบบอิสระกองแรก ที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเดือนก.พ. 2561 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม 4,608 ล้านบาท ด้วยคุณลักษณะเด่นของ REIT ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนทางเลือกที่เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป เป็นช่องทางที่เอื้อให้ทรัพย์สินเติบโตและช่วยสร้างสมดุลให้พอร์ตของนักลงทุน ในอีกด้านหนึ่งก็เปรียบเสมือนเครื่องมือระดมทุนรูปแบบใหม่สำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ซึ่งแตกต่างและมีความยืดหยุ่นมากกว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ จึงทำให้ B-WORK ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ระดมทุนและนักลงทุน
ประกอบกับ ในกลุ่มธุรกิจนี้ ยังให้บริการเป็นผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ในกองทรัสต์ (REIT Trustee) ให้กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แกรนด์ โฮสพีทาลิตี้ (GAHREIT)
กองทุนบัวหลวงยังคงมุ่งมั่นบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้ามองหาช่องทางการขยายสินทรัพย์ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกอง REIT ควบคู่กับการมองหาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่หลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนมากขึ้น
"ตามหลักการเลือกลงทุนแล้ว ทุกคนอยากให้เงินลงทุนเติบโต ซึ่งแต่ละคนมีวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกัน ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน ดังนั้น การวางแผนการลงทุนจึงต้องแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรมีเหมือนกัน คือ การรู้จักกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ และนั่นเป็นหน้าที่ของเราที่จะแสวงหารูปแบบการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีทางเลือกที่หลากหลายยิ่งขึ้น" นายวศิน กล่าว