ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ไทยที่สามารถกระจายฐานรายได้ในธุรกิจที่หลากหลายและลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้ น่าจะส่งผลให้บริษัทนั้นมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าภายใต้สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่มีความท้าทายมากขึ้น ฟิทช์ เรทติ้งกล่าวไว้ในรายงานฉบับล่าสุด
ฟิทช์คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ไทยจะยังคงผันผวนจากแรงกดดันที่มีอย่างต่อเนื่องของค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และจากสภาวะการลงทุน (sentiment) ในตลาดหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยจะสามารถทยอยลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว บริษัทหลักทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจการลงทุนเพื่อบัญชีของบริษัท (Proprietary trading) ธุรกิจเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin lending) ธุรกิจจัดการกองทุน ธุรกิจการลงทุนในหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private equity) และธุรกิจวาณิชธนกิจ น่าจะส่งผลให้บริษัทนั้นมีรายได้ที่มีเสถียรภาพและมีอัตรากำไรสูงขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยน่าจะยังคงต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่สูงจากการมีผู้เล่นจำนวนมากและอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ต่ำลง ทั้งนี้อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของลูกค้าทุกประเภทได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นภายหลังการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555
กลุ่มนักลงทุนรายย่อยยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ 41% ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2561 (ลดลงจาก 54% ณ สิ้นปี 2559) ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยลดลงนั้นส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 36% ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2561 (เพิ่มขึ้นจาก 26% ณ สิ้นปี 2559) แต่อย่างไรก็ตามรายได้จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะผันผวนและมีอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ต่ำมาก