นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า บริษัทได้ออกกองทุนใหม่คือ กองทุน T-SmartBeta ที่ตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น โดยนโยบายกองทุนมีความยืดหยุ่น เหมาะกับตลาดการลงทุนในปัจจุบันที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยในการเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 5-11 กันยายนนี้ จะเก็บค่าธรรมเนียมการขายในอัตราพิเศษเพียง 0.25% เท่านั้น (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท ส่วนครั้งถัดไปขั้นต่ำ 1,000 บาท
สำหรับกองทุน T-SmartBeta จะเน้นลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า Mid Beta และ Low Beta ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนระหว่างหุ้น 2 ประเภทให้เหมาะกับสภาวะลงทุนในขณะนั้น ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเน้นลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำอย่าง Low Beta เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะรับกับมุมมองทิศทางการลงทุนหุ้นไทยในปีหน้าด้วย
กองทุน T-SmartBeta ของ บลจ.ธนชาต มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีค่า Beta ไม่เกิน 1.4 โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นได้สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว
"หลังจากนี้ บลจ.ธนชาต ยังเชื่อว่าหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า และคิดว่าหุ้นไทยในปีหน้าที่ PE 14 เท่ามีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่มีทิศทางเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของกำไรบริษัทในตลาด ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า"
บลจ.ธนชาต จึงได้พัฒนากองทุนให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้สามารถทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น และเมื่อตลาดเป็นขาลงก็ผสมหุ้น Low Beta เพื่อให้กองทุนไม่ผันผวนตามตลาดมากนัก
"ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต มีกองทุนที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากๆ อย่างกองทุนประเภท Low Beta อยู่ 3 กองทุน คือ T-LowBeta, T-LowBetaRMF และ T-LowBetaLTFD ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เรียกได้ว่าเมื่อนึกถึงกองทุนหุ้นผันผวนต่ำ ก็จะมีชื่อ T-LowBeta อยู่ในระดับต้นๆ แต่ที่ผ่านมาในช่วงที่หุ้นขึ้นสูงๆ ก็มีผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่านั้นปรับไปลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วไปบ้าง เพราะกองทุนประเภท Low Beta ในทางทฤษฎีจะทำผลตอบแทนได้ไม่สูงเท่ากับกองทุนหุ้นทั่วไป"นายบุญชัย กล่าว
ในส่วนของกองทุน T-SmartBeta ที่เปิดตัวในครั้งนี้ มีจุดเด่นที่สำคัญอีก 1 อย่าง ของกองทุน T-SmartBeta คือ หุ้นที่กองทุนสนใจลงทุนคือหุ้นที่เรียกว่า Mid Beta ซึ่งเป็นหุ้นที่ค่า Beta ระหว่าง 1 – 1.4 โดย บลจ.ธนชาต ได้แบ่งหุ้นออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.ประเภท Low Beta (ค่า Beta น้อยกว่า1) 2. ประเภท Mid Beta (ค่า Beta ระหว่าง 1 – 1.4) และ 3.ประเภท High Beta (ค่า Beta มากกว่า 1.4) ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าเป็นช่วง Beta ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดในช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ มกราคม 2557 ถึง กรกฎาคม 2561) โดยความคุ้มค่าจะวัดจากผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง กล่าวคือ ความเสี่ยงที่เท่ากัน หุ้นตัวที่เรามองว่าคุ้มค่าคือหุ้นที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่านั่นเอง
นอกจากนั้น กองทุนยังนำเอาตัวชี้วัดที่เป็นการบริหารกองทุนในเชิงเทคนิคเข้ามาบริหารพอร์ตลงทุน เพื่อทำให้การปรับสัดส่วนการลงทุนของผู้จัดการกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้