โบรกฯเชียร์"ซื้อ"IRPC คาดกำไรปีนี้โตตาม GRM-กำลังผลิต PP เพิ่มหนุน แม้ Q3/61 รับผลสเปรดโอเลฟินส์ลด-ปิดซ่อม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 3, 2018 15:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) คาดกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้น 4.4% และ กำไรปกติ 6.3% เนื่องจากค่าการกลั่นสูงขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ซัพพลายในตลาดลดลง

รวมถึงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปีที่แล้วเสร็จเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายกำลังการผลิต PP จากโรงงานเดิม (PPE) อีก 1.6 แสนตัน/ปี และการผลิต PP Compound (PPC) 1.4 แสนตัน/ปี ขณะที่ส่วนต่าง (สเปรด) ของ PP ที่แข็งแกร่งช่วยรักษาระดับกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ทั้งปีได้ที่ราว 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

แต่ระยะสั้นในไตรมาส 3/61 กำไรจะลดลงจากไตรมาส 2/61 รับผลกระทบสเปรดผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ปรับลดลง อีกทั้งมีการหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl และหน่วย RDCC ทำให้อัตราการกลั่นคาดว่าจะลดลงเหลือ 90-93% จาก 97-98% ในไตรมาส 2/61 แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น และราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยเชิงลบไปแล้ว

ช่วงบ่ายราคาหุ้น IRPC อยู่ที่ 7 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.72% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 0.08%

          โบรกเกอร์                       คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาทต่อหุ้น)
          เอเอสแอล                         ซื้อ                  8.70
          ทรีนีตี้                             ซื้อ                  8.00
          เคทีบี (ประเทศไทย)                 ซื้อ                  7.70
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)                 ซื้อ                  7.40
          แอพเพิล เวลธ์                      ซื้อ                  7.70

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเอสแอล แนะนำ"ซื้อ"หุ้น IRPC ด้วยราคาเป้าหมายที่ 8.70 บาท แม้ว่าระยะสั้นหรือในไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิมีโอกาสลดลงจากไตรมาส 2/61 เนื่องจากรับผลกระทบจากสเปรดราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโอเลฟินส์ปรับตัวลดลงจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูง และมีการหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl เป็นเวลา 40 วัน และหน่วย RDCC เป็นเวลา 26 วัน ทำให้คาดว่าอัตราการกลั่นจะลดลงเหลือ 90-93% จาก 97% ในไตรมาส 2/61 และรับรู้กำไรจากสต็อก (Stock Gain) ที่ลดลง

แต่บริษัทมีปัจจัยบวกจากสเปรดผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์สูงขึ้น รวมทั้งค่าการกลั่นดีขึ้น และคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/61 จะกลับมาดีขึ้นในช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากซัพพลายในตลาดโลกลดลงและความต้องการเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณปรับตัวลง

ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้ IRPC มีกำไรปกติที่ 8,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากปีก่อน ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปีทำได้ 48% ของประมาณการแล้ว

นอกจากนี้ ราคาหุ้น IRPC ถือว่า Laggard ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านหลังจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากความกังวลคดีที่เกี่ยวข้องกับ บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) หรือ IRPC ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาตรา 157 กรณีอนุมัติให้กระทรวงการคลังเข้าฟื้นฟูกิจการ TPI ซึ่งทำให้ Sentiment การลงทุน IRPC กลับมาฟื้นตัวเพื่อสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

"ราคาหุ้น IRPC ยัง Laggard ราคาตอนนี้น่าจะสะท้อนผลประกอบการในไตรมาส 3/61 ไปแล้ว ราคาหุ้นมีแนวโน้มยืนเหนือ 7 บาทได้"นายเบญจพล กล่าว

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ"ซื้อ"สำหรับหุ้น IRPC แม้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าการกลั่นปรับลดลงในระยะนี้ แต่ยังคงสูงกว่าปีก่อน อีกทั้ง IRPC จะได้รับผลดีเชิงจิตวิทยาจากการที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินยกฟ้องนายทักษิณกรณีอนุมัติให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ TPI ว่าไม่มีเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม IRPC มีแผนหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl และหน่วย RDCC ในช่วงไตรมาส 3/61 ทำให้คาดว่าอัตราการกลั่นจะลดลงเหลือ 93% จาก 98% ในไตรมาส 2/61 แต่ IRPC ก็จะได้รับผลดีจากการที่กำลังผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์เข้าสู่ตลาดโลกล่าช้า รวมถึงอาจมีกำไรจากการขายที่ดินให้บริษัทร่วมทุนระหว่าง IRPC และบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ขณะที่ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นในการเข้าสู่ Driving Season ของสหรัฐฯ และฤดูหนาวปลายปี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ระดับ 1.19 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.4% จากปีที่แล้ว

ส่วน บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ IRPC ช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังคงคาดการณ์กำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้น ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตอนปลายไตรมาส 2/61 ประกอบกับผลกระทบจากต้นทุน Crude Premium น่าจะเริ่มคลี่คลายจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ลดลง การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนที่อาจชะลอตัว ด้วยผลของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในส่วนของค่าใช้จ่ายพนักงานจะลดลงสู่ระดับปกติ

อย่างก็ตาม ประเมิน Upside จากราคาน้ำมันดิบเริ่มจำกัด ทำให้โอกาสในการรับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมันน้อยกว่าครึ่งปีแรก นอกจากนี้ช่วงเดือน ก.ย.ยังมีแผนปิดซ่อมหน่วยผลิตที่เกี่ยวข้องกับโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) บางส่วน เป็นเวลา 26 วัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่น และปริมาณการผลิตโพรพิลีนลดน้อยลง แต่คาดผลกระทบจะไม่มากด้วยการเตรียมผลิตไว้ล่วงหน้า บวกกับสเปรดที่แข็งแกร่งของ PP จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด สวนทางกับความต้องการใช้

ประกอบกับ ผลประโยชน์จากโครงการการติดตั้งหอกลั่น Max Gasoline Mode เพื่อปรับปรุงน้ำมันเบนซินที่ยังมีส่วนประกอบที่หลากหลาย (gasoline components) ที่เดิมจะต้องส่งออกนำบางส่วนมาแยกสารบางประเภทออกเพื่อให้สามารถนำน้ำมันเบนซินกลับมาขายในประเทศเพิ่มขึ้น และโรงงาน PPC ที่เดินเครื่องได้เต็มที่ 100% จึงน่าจะช่วยรักษาระดับ GIM ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันของทั้งปีนี้อยู่ที่ราว 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า กรณีความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยในวันที่ 5 ก.ย.นี้ จะเป็นวันที่รัฐบาลสหรัฐฯจะสรุปผลการทำ Public Hearing ในประเด็นการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าของจีนในล็อตมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ในเดือนหน้ารัฐบาลสหรัฐฯอาจจะตั้งกำแพงภาษีต่อจีนในส่วนของสินค้าและบริการในงวดของ 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อไป และคาดว่าทางการจีนจะมีมาตรการตอบโต้สหรัฐ โดยในงวดถัดไปมีโอกาสสูงที่รัฐบาลจีนจะตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในหมวดปิโตรเคมี ซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น IRPC

จากผลการศึกษาวิเคราะห์ในส่วนของปี 62 จากการเปลี่ยนแปลงของราคาโพรเพนและโพลีเอทิลีนในหมวดสินค้าโอเลฟินส์ พบว่ารายได้รวมลดลงประมาณ 0.9% โดยโอเลฟินส์ที่ราคาต่อหน่วยลดลงเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มสินค้าด้านปิโตรเคมีของ IRPC แต่สินค้าหมวดอะโรเมติกส์ไม่ได้โดนกระทบแต่อย่างใด, กำไรเบื้องต้นลดลงประมาณ 3.4% โดยโอเลฟินส์ที่ราคาต่อหน่วยลดลงเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มสินค้าด้านปิโตรเคมีของ IRPC ทั้งนี้ สินค้าหมวดอะโรเมติกส์ไม่ได้โดนกระทบแต่อย่างใด

กำไรสุทธิลดลงประมาณ 6.4% โดยโอเลฟินส์ที่ราคาต่อหน่วยลดลงเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มสินค้าด้านปิโตรเคมีของ IRPC ทั้งนี้ สินค้าหมวดอะโรเมติกส์ไม่ได้โดนกระทบแต่อย่างใด และผลกระทบในเชิงลบจากสงครามการค้าอย่างเต็มที่ หากไม่นับผลจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อราคาเป้าหมายของ IRPC อยู่ที่ 0.3 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ