นายเอ สัจเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ฟู้ด แคปปิตอล (FC) เปิดเผยว่าบริษัทได้ชี้แจงต่อผู้ถือหุ้นถึงแนวทางการแก้ไขฐานะการเงินในงบการเงินไตรมาส 2/61 ภายหลังพบว่าอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อทุนชำระแล้วอยู่ที่ระดับ 14% และเป็นสาเหตุทำให้ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย "C" โดยแนวทางแก้ไขหลัก บริษัทจะเร่งดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ของบริษัทให้กับบริษัท พีอาร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PRGD) หรือไพร์มโรดกรุ๊ป เพื่อรับโอนกิจการพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาแทนที่ธุรกิจอาหาร เป็นไปตามแนวทางที่ได้ขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้
"กิจการของไพร์มโรดกรุ๊ปมีกำไรสุทธิมาโดยตลอด กรณีกระบวนการแลกหุ้นสำเร็จ ในวันแรกที่รับโอนกิจการจะทำให้ FC มีกำไรทันที โดยขั้นตอนขณะนี้ทางบริษัทได้ปรึกษากับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการแลกหุ้นและรับโอนกิจการเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด มุ่งหวังให้บริษัทกลายเป็นกิจการที่มีผลประกอบการที่ดี สามารถสร้างผลตอบแทนคืนให้กับผู้ถือหุ้น"นายเอ กล่าว
ในระหว่างดำเนินการเร่งรับโอนกิจการพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจอาหารควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย คาดหวังให้ผลประกอบการในงวดครึ่งหลังของปีนี้ จะขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2561 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 284 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการเพิ่มรายได้ในส่วนของธุรกิจอาหารนั้น บริษัทกำหนดจะพัฒนาความร่วมมือที่ดีกับผู้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ เพิ่มเมนูใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไร พัฒนาช่องทางการขายใหม่ ๆ เช่น การขายออนไลน์ และ Food Trucks รวมไปถึงการจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่ที่ต้องการมุ่งเน้น และทำรายการส่งเสริมการขายระดับสโตร์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า
ขณะเดียวกันเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสต็อกสินค้าเพื่อควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและลดปริมาณของเสีย ย้ายครัวกลางเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง เป็นต้น
ณ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีผลขาดทุนสะสมจากการดำเนินงาน 2,158 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 298.9 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,136.5 ล้านบาท อัตราส่วนผู้ถือหุ้นต่อหุ้นชำระแล้ว 14% ลดลงจากปี 2560 อยู่ที่ระดับ 21.3% และปี 2559 อยู่ที่ระดับ 69%
ครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้ 391 ล้านบาท ลดลง 4% เป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอาหาร แต่พบว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 23% เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินมาตรการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน