นายวิสุทธิ์ สุวรรณวิทย์เวช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิ จากที่ขาดทุนสุทธิ 202.81 ล้านบาทในปีที่แล้ว หลังในช่วงครึ่งแรกปีนี้ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 35.95 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตตามรายได้ที่คาดวาจะขยายตัวได้ 5-10% จากระดับ 9.35 พันล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ทำรายได้ได้แล้ว 4.9 พันล้านบาท ขณะที่คาดว่าทั้งปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นหลักราว 90% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 10% ส่วนธุรกิจอาหารสัดส่วนรายได้ยังมีค่อนข้างน้อยไม่ถึง 1%
นอกจากนี้จะบันทึกกำไรพิเศษจากการชนะคดีคลองด่านราว 288 ล้านบาท เข้ามาในไตรมาส 3/61 ทำให้ปีนี้จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงกว่าในทุก ๆ ปี
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่กว่า 1 หมื่นล้านบาท จาก 44 โครงการ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 40% ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีก มูลค่ารวม 3.99 หมื่นล้านบาท คาดหวังได้งานไม่ต่ำกว่า 15% โดยงานที่ติดตามส่วนใหญ่จะเป็นงานปิโตรเคมี ที่บริษัทจะเข้าไปเป็น Sub-Contract งาน Civil Oil & Gas ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจารับงานท่าเรือคลัง LNG เฟส 2 ของบมจ.ปตท. (PTT) มูลค่า 1-6 พันล้านบาท คาดว่าจะสรุปได้ในไตรมาส 4/61 และงาน Sub-Contract รถไฟฟ้ามูลค่าหลายพันล้านบาท และงานโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ มูลค่า 100 ล้านบาท ถึง 1 พันล้านบาท อีกทั้งงานของภาคเอกชน ที่ปัจจุบันมีงานอยู่ใน Pipeline มูลค่ารวมราว 6.5 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทมองว่าน่าจะมีโอกาสเข้าไปร่วมรับงานเช่น งานอาคาร, งานศูนย์การค้าต่างๆ เป็นต้น
ส่วนงานใหม่ที่จะออกมาเพิ่มเติมในปีนี้ โดยเฉพาะงานเมกะโปรเจคต์ เช่น งานสายสีม่วง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งเมื่องานออกมาต้องประเมินศักยภาพว่าจะเข้าร่วมได้หรือไม่ หรืออาจร่วมกับพันธมิตร ซึ่งถือว่ามีโอกาสจะเสนอราคา รวมถึงงานของหน่วยราชการอื่น ๆ เช่นกรมทางหลวง บริษัทก็มีการติดตามงานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการมูลค่าไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่ หรือโครงการแอสเพนเฟส C มูลค่า 500 ล้านบาท คาดเห็นความชัดเจนได้ในปี 62 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการแอสเพนเฟส B ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมโอนโครงการได้ในไตรมาส 4/61
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ด้านธุรกิจอาหารปัจจุบันยังมีสัดส่วนรายได้ค่อนข้างน้อยไม่ถึง 1% เนื่องจากบริษัทเพิ่งเริ่มดำเนินการโดยมีการขายอาหารแบบ ready to serve ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีแผนขยายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย ขณะที่ร้านอาหาร By bua ปัจจุบันมี 2 สาขา ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาเปิดร้านอาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน คาดว่าจะสามารถเปิดได้ทันก่อนสิ้นปีนี้ วางงบลงทุนราว 20-30 ล้านบาท