โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เล็งผลประกอบการครึ่งหลังปีนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก จากเป็นช่วงฤดูกาล (Seasonal) โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61 สินเชื่อจะเติบโตดี-มาร์จิ้นสูง รวมถึงการตั้งสำรองหนี้ฯมีโอกาสที่จะลดลงหลังจากที่ได้ปรับวิธีการตั้งสำรองฯใหม่ และยังได้ปรับโครงสร้างภายในกับทางบง.ศรีสวัสดิ์ (BFIT) ซึ่งใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ทำให้ทาง SAWAD จะเร่งปล่อยเชื่อมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วย
ทั้งนี้ คาดการณ์สินเชื่อปีนี้เติบโต 19-20% โดยจะเร่งตัวขึ้นตามฤดูกาลในครึ่งปีหลัง พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ จะอยู่ในช่วง 2,496-2,700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระดับกำไรสุทธิ 2,667 ล้านบาทในปีที่แล้ว
หุ้น SAWAD พักเที่ยงอยู่ที่ 41 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.61% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.75%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ซื้อ 44.00 ฟิลลิป (ประเทสไทย) ซื้อ 43.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 42.50 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อเก็งกำไร 41.40
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) คาดว่า ผลประกอบการของ SAWAD ในครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วง Seasonal โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61 สินเชื่อจะมีการเติบโตดี นอกจากนี้การตั้งสำรองหนี้ฯก็ลดลงด้วย ทำให้ราคาหุ้น SAWAD ปรับตัวขึ้นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันมาร์จิ้นของ SAWAD ก็สูงขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วงที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างกับทาง BFIT แต่ปลายปี 60 ก็เริ่มปล่อยสินเชื่อที่ได้มาร์จิ้นที่สูงขึ้น จากที่การปรับโครงสร้างภายในกับทาง BFIT ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ก็ทำให้ SAWAD จะเร่งปล่อยเชื่อมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้ คาดการณ์สินเชื่อปีนี้ของ SAWAD จะเติบโต 19% โดย 6 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อโต 8.3% และคาดว่าจะเติบโตได้อีก 11% ในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับไตรมาส 3/61 คาดว่า SAWAD จะมีกำไรสุทธิ 670-680 ล้านบาท เติบโต 8-10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น SAWAD ก็คงจะได้รับผลกระทบเชิงลบ จากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่เนื่องจากการกลับมาปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยปกติที่อยู่ในระดับสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ทำให้มาร์จิ้นของ SAWAD ปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้ถึงปี 62 ส่วนเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางการที่จะออกมาก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิของ SAWAD ในปีนี้ที่ 2,540 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่มีรายการพิเศษเข้ามา
ด้านบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อใหิ้เกิดรายได้ (NPL) จากลูกค้า SME ของ SAWAD ที่เคยมีปัญหาในช่วงไตรมาส 1/61 ได้มีการชำระคืนมาแล้ว ส่งผลให้ NPL ลดต่ำลงเหลือ 5% จาก 8% ในไตรมาสแรก นอกจากนี้ SAWAD อยู่ระหว่างการปรับวิธีการตั้งสำรองใหม่ จากเดิมที่ตั้งสำรองของทั้งกลุ่ม ซึ่งรวม BFIT ด้วย โดยไม่ได้มีการหักมูลค่าหลักประกัน ทำให้การตั้งสำรองสูงกว่าความจำเป็น ถึงแม้ว่าหากพิจาณาจากสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมของ SAWAD แล้วจะมีอยู่เพียง 72.6% ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งการปรับการตั้งสำรองนี้น่าจะทำให้การตั้งสำรองในอนาคตลดน้อยลงได้
แต่ทางฝ่ายมองว่า SAWAD ต้องมีการตั้งสำรองเผื่อสินเชื่อที่จะปล่อยใหม่ในอนาคต ซึ่งจะเร่งตัวขึ้น และเพื่อรองรับกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ อย่าง เช่น IFRS9 ถึงแม้ว่าจะมีการเลื่อนใช้ออกไปแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามจากการปรับวิธีการตั้งสำรอง อาจจะทำให้เห็นการปรับประมาณการกำไรของ SAWAD ขึ้นจากโบรกเกอร์อื่น แต่ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 61 ไว้เหมือนเดิมที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากปีที่แล้ว และคาดว่ากำไรในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรในครึ่งแรกปีนี้ นั้นคิดเป็น 42.8% ของประมาณการทั้งปี
สำหรับการปรับโครงสร้างกลุ่ม โดยให้การปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่ในอนาคตจะทำภายใต้ BFIT ทำให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน นอกกำกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ร่างกฎหมายนอนแบงก์) ที่จะออกมาใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้การคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าในอนาคตลดต่ำลง ซึ่ง SAWAD จะไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงนี้ จากการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทดังกล่าว ทำให้การปล่อยสินเชื่อเร่งตัวขึ้น
โดยในช่วงไตรมาส 2/61 SAWAD มีสินเชื่อเติบโต 6.2% เมื่อเทียบต่อไตรมาส จากไตรมาส 1/61 ที่สินเชื่อเติบโตเพียง 2.9% เมื่อเทียบต่อไตรมาส และทำให้ตั้งต้นปีสินเชื่อเติบโตแล้ว 9.2% นอกจากนี้ผู้บริหารของ SAWAD คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ต่อในครึ่งหลังปีนี้ และมั่นใจว่าเป้าการปล่อยสินเชื่อปีละ 20-30% นั้นทำได้แน่นอน
นอกจากนี้ SAWAD นั้นอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต Banking Agent โดยในช่วงแรกที่ได้ใบอนุญาตแล้วจะใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจในเครืออย่าง BFIT โดยจะทำให้ลูกค้าของ BFIT นั้นสามารถรับเงินจากการขอสินเชื่อผ่านสาขาของ SAWAD ได้ จากเดิมที่ใช้วิธีโอนเข้าบัญชีลูกค้า ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่าย ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวก และได้รับเงินได้รวดเร็วขึ้น
ส่วนบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า SAWAD มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการตั้งสำรองฯของกลุ่ม จากเดิม "ไม่หักหลักประกัน" เป็น "หักหลักประกัน" ซึ่งจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายสำรองฯลดลง ตั้งแต่ไตรมาส 3/61 เป็นต้นไป จึงปรับลดประมาณการสำรองฯลง 15% จากประมาณการเดิม และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ขึ้น 3.6% เป็น 2,496 ล้านบาท ลดลง 6.4% จากปีที่แล้ว ทั้งนี้ มองเป็นกลางเพราะถึงแม้นโยบายสำรองฯใหม่จะกระตุ้นกำไรสุทธิ แต่ SAWAD อาจเผชิญความเสี่ยงที่ผันผวนตามเศรษฐกิจในระดับสูงขึ้น
ทั้งนี้ การเติบโตของสินเชื่อส่วนใหญ่มาจากสาขาเดิมซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2,606 สาขา จากที่มีอยู่ราว 2,500 สาขาในปีก่อน เป็นอัตราเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคู่แข่ง แต่โดยรวมประสิทธิภาพไม่ได้ลดลง ขณะที่คาดว่าสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นตามฤดูกาลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคงประมาณการสินเชื่อปีนี้ เติบโต 20% จากปีก่อน