นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว"Korn Chatikavanij" เมื่อวานนี้ (5 ก.ย.) ว่า ภายหลังการแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้บริหารบมจ.ปตท. (PTT) เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ต่อกรณีแผนการเข้าซื้อกิจการผลิตไฟฟ้าของบมจ.โกลว์ พลังงาน ( GLOW) และในส่วนของธุรกิจค้ากาแฟอเมซอน แม้ว่าจะมีเข้าใจมากขึ้น แต่ยังมีความเห็นต่างในหลายประเด็น โดยจะยังเดินหน้ายื่นคัดค้านการซื้อหุ้น GLOW ต่อนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน พร้อมกับยื่นร้องเรียนกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันที่ 10 ก.ย.นี้
ทั้งนี้ การหารือกับปตท.เรื่องประเด็นการซื้อกิจการ GLOW ทางปตท.ได้พูดถึงจุดเริ่มแรกการทำธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของปตท. เอง และเมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ GLOW เสนอขายก็ได้พิจารณาตามเงื่อนไขธุรกิจทั่วไป โดยปตท. มองว่าการควบรวมกับ GLOW มีประโยชน์กับกิจการที่มีอยู่เดิม และจะทำให้บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของปตท. ที่จะเป็นผู้ซื้อหุ้น GLOW นั้นกลายเป็นผู้ผลิตใหญ่อันดับที่สามในประเทศ และปตท. อธิบายว่าจะไม่มีผลกระทบกับลูกค้าปัจจุบันของ GLOW และการซื้อก๊าซฯก็ต้องซื้อในเงื่อนไขเดียวกันกับผู้ผลิตรายอื่น
ขณะที่ตนได้อธิบายว่า แม้ปตท. เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ต้องไม่ลืมว่าปตท. มีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต่างจากบริษัทอื่น ๆ เนื่องจากปตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น ปตท. ต้องระมัดระวังไม่ใช้ฐานความเข้มแข็งจากความเป็นรัฐ ในการข้ามไปแข่งในธุรกิจของผู้อื่น และคงไม่มีปัญหา หากปตท.เพียงผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือจำกัดการเปิดร้านกาแฟในปั้มน้ำมัน แต่ปัญหาเกิดจากการขยับขยายออกมาแข่งกับชาวบ้าน ซึ่งในกรณีการผลิตไฟฟ้านั้นยิ่งมีความชัดเจน เพราะบริษัทผลิตไฟฟ้าทุกบริษัทเป็น"ลูกค้า"ของปตท.
พร้อมทั้งเปรียบเทียบว่าหากบมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ตัดสินใจลงทุนทำสายการบินของตนเอง ก็คงมองว่านั่นจะเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับสายการบินอื่นที่ล้วนเป็นลูกค้าเดิมของ AOT และเป็นการทำในสิ่งที่ไม่ใช่พันธกิจขององค์กร
"ผมมองว่าในยุคที่สังคมมีความกังวลกับอิทธิพลทุนใหญ่ และในยุคที่บทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจของเรามีมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐจึงยิ่งต้องระมัดระวังไม่ให้หน่วยงานของรัฐมีข้อครหาว่าเป็นผู้เอาเปรียบภาคเอกชนเสียเอง และหากการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าลดลง ผู้เสียเปรียบสุดท้ายก็คือประชาชนผู้ใช้ไฟ นอกจากนั้นเรายังมี กฟผ. ทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าอยู่แล้ว และกฟผ. ก็มาถูกทางแล้วในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามารับภาระการลงทุนแทนรัฐ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะมีอีกรัฐวิสาหกิจหนึ่งมาซื้อหุ้นเอกชนกลับไป"นายกรณ์ ระบุ
นายกรณ์ ระบุอีกว่า เงินทุนที่ใช้ในการซื้อ GLOW กึ่งหนึ่งก็เป็นของประชาชน ดังนั้น ปตท. ควรที่จะใช้ทุนนี้ในทางที่สร้างสรรค์กว่า โดยนำไปสร้างของใหม่ที่จะเป็นการเสริมเติมต่อระบบเศรษฐกิจ แทนที่จะมาซื้อของเก่าที่ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งประเด็นทางกฎหมายรัฐธรรมนูญยิ่งเป็นการยืนยันว่ารัฐควรต้องทำตามภารกิจของตนเท่านั้น ไม่ควรไปทำธุรกิจแข่งกับเอกชนโดยไม่จำเป็น
ส่วนเรื่องร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน ทางปตท. ตกลงที่จะกลับไปคิดหาคำตอบในข้อเสนอ และในประเด็นที่ทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) มีความกังวล ได้แก่ 1. ปตท. จะพิจารณาว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่อเมซอนอย่างไร โดยเฉพาะรายย่อย (ทุน/อุปกรณ์/พื้นที่การขาย) เพราะนั่นคือบทบาทการส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟที่แท้จริงของรัฐ
2. ปตท. จะพิจารณาว่าจะเปิดพื้นที่ปั้มน้ำมันให้ผู้อื่นแข่งขันอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร (ปัจจุบันถึงแม้มีเจ้าอื่นขายกาแฟในปั้มปตท.อยู่บ้างแต่ปตท.ก็กำหนดเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดในการแข่งขันเช่นจำกัดสิทธิการโฆษณาหรือแม้แต่ประเภทขนมที่ขายได้)
3. ปตท. จะพิจารณานโยบายว่าจะจำกัดจำนวนสาขาอย่างไร เพราะมีประสบการณ์จากร้านสะดวกซื้อแล้วว่าหากปล่อยให้ขยายได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ได้ส่งผลอย่างไรกับกิจการโชว์ห่วยของชาวบ้าน
4. ปตท. จะหาแนวทางที่จะส่งเสริมเกษตรกรที่ประสงค์จะเปลี่ยนมาปลูกกาแฟ (ยกตัวอย่างเช่นชาวสวนยางในภาคใต้ หรือสวนลำไยในภาคเหนือ)
5. ปตท.จะหาแนวทางช่วยชาวไร่กาแฟไทยเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวไร่สามารถขายเมล็ดกาแฟให้ปตท.ได้มากขึ้น (ปัจจุบันเป็นน่าจะมีการซื้อเมล็ดกาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านคนกลางในปริมาณที่มากอยู่)
6. ตนยังเห็นคุณค่าของแบรนด์ ‘อเมซอน’ ที่ปตท. สร้างขึ้นมา เพียงแต่คิดว่าเอกชนรายอื่นไม่ควรต้องมาแข่งกับรัฐ แม้ปตท.บอกว่าเขาจะขายหุ้นบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์ แต่นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในแง่กำลังทุน และปตท.ก็ยังจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอยู่ดี
ทั้งนี้ ได้แสดงความเห็นกับปตท. ว่าปัญหาทั้งหมดจะหมดไปหากปตท.แปรให้กิจการอเมซอนเป็นของเอกชนทั้งหมด (ยกตัวอย่างคือขายให้กับผู้บริหารและเจ้าของ franchise ปัจจุบัน รวมไปถึงประชาชนทั่วไป แต่อย่าขายให้ทุนใหญ่) เพื่อให้เอกชนไทยเจ้าอื่นสามารถแข่งขันกับอเมซอนอย่างเป็นธรรมได้มากขึ้น และจะทำให้กิจการกาแฟไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐแข่งกับเอกชน ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะช่วยให้ปตท. มีบทบาทที่สร้างสรรค์และเป็นที่ชื่นชมของประชาชนคนไทยมากยิ่งขึ้น
"ข้อสรุปจากวันนี้คือ เราเข้าใจกันมากขึ้น แต่ยังเห็นต่างในหลายประเด็น ผมจึงจะเดินหน้ายื่นคัดค้านการซื้อหุ้น GLOW โดย ปตท. และจะรอฟังความชัดเจนในประเด็นที่เรียบเรียงไว้ 6 ข้อ ในกรณีธุรกิจกาแฟ เนื่องจากส่วนหนึ่งของปัญหาเป็นประเด็นทั้งทางนโยบายและทางกฎหมาย ผมจึงจะยื่นร้องเรียนการซื้อหุ้น GLOW ต่อท่านนายกฯและท่านรัฐมนตรีพลังงาน พร้อมกับยื่นร้องเรียนกับผู้ตรวจการแผ่นดินทั้งหมดนี้จะดำเนินการในวันจันทร์ที่ 10 กันยายนนี้"นายกรณ์ ระบุ