นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้น่าจะดีขึ้นมากจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท โดยจะได้รับผลดีจากราคากากถั่วเหลืองที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่บริษัทหันมาสั่งซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่มขึ้นหลังจากเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐส่งผลให้ราคาถั่วเหลืองของสหรัฐปรับลดลง ผลักดันให้บริษัทมีมาร์จิ้นจากการขายกากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมรายได้ปีนี้อาจจะทำได้เพียง 2.4-2.5 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้ 2.48 หมื่นล้านบาทก็ตาม
"ปีนี้เกินเป้าหมายเยอะเลย ตัวสำคัญคือกำไรน่าจะดีขึ้นเยอะกว่าปีที่แล้วที่มี 1.3 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปีนี้มีกำไรสุทธิแล้ว 1.13 พันล้านบาท จากราคากากถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้น และถึงแม้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองจะไม่ดี แต่เราคาดหวังว่าในไตรมาส 4/61 จะกลับมาดีขึ้น เพราะถ้าเกิดเอลนิโญ่ ผลผลิตปาล์มไม่ดีก็จะส่งผลให้ราคาพืชถั่วเหลืองดีขึ้นด้วย"นายบวร ให้สัมภาษณ์"อินโฟเควสท์"
นายบวร กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะรับผลดีจากสงครามการค้าสหรัฐกับจีนที่เริ่มเกิดความขัดแย้งตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2/61 ทำให้ราคาถั่วเหลืองจากสหรัฐต่ำกว่าบราซิล ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ นับเป็นจังหวะที่บริษัทจะปรับการสั่งซื้อถั่วเหลืองวัตถุดิบมาที่สหรัฐฯเพียงแหล่งเดียว แต่ก็อาจมีผลกระทบด้านอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง เพราะเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทก็ได้ทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้าไว้แล้ว
ขณะที่ราคากากถั่วเหลืองกลับสูงขึ้น เพราะปีที่ผ่านมาอาร์เจนตินามีผลผลิตไม่ดี ลดเหลือ 34 ล้านตัน/ปี จากปกติ 57 ล้านตัน/ปี ทำให้ส่งออกได้น้อย ส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มรายได้จากกากถั่วเหลือง และมีแนวโน้มราคากากถั่วเหลืองจะยังทรงตัวสูงไปจนถึงต้นปี 62 โดยตั้งแต่ต้นปี 61 ราคากากถั่วเหลืองสูงกว่าเมล็ดถั่วเหลืองประมาณ 20%
อย่างไรก็ดี ขณะนี้น้ำมันพืชถั่วเหลืองตรา"องุ่น"มีราคาอ่อนตัวตามราคาน้ำมันปาล์ม หลังปริมาณน้ำมันปาล์มดิบในสต็อกมีมาก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าไทยจะประสบภาวะเอลนิโญ่ในช่วงปลายปีนี้ ก็จะส่งผลให้ผลผลิตปาล์มลดลง ซึ่งนับว่าจะเป็นผลดีต่อราคาน้ำมันพืชของบริษัทด้วย
TVO เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์น้ำมันถั่วเหลืองสำหรับปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์กากถั่วเหลือง โดยมีกำลังการผลิต 6,000 ตันเมล็ดถั่วเหลือง/วัน ขณะที่สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่กว่า 60% มาจากกากถั่วเหลือง และกว่า 20% มาจากน้ำมันพืชถั่วเหลือง ส่วนที่เหลือมาจากรายได้อื่น ๆ
นายบวร กล่าวว่า ในไตรมาส 3/61 ผลประกอบการของบริษัทอาจจะไม่ค่อยดีมากนัก เพราะการเลี้ยงสัตว์อาจจะชะงักบ้างในพื้นที่ที่มีน้ำท่วม กระทบต่อการใช้กากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ผลิตอาหารสัตว์ ทำให้คาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ราคากากถั่วเหลืองสูงขึ้นก็ทำให้อัตรากำไรดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตมาต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4/61 บริษัทจะมีกำลังการผลิตน้ำมันพืชบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น 150 ตัน/วัน หลังจากได้เพิ่มสายงานการผลิต ทำให้สามารถนำออกมาขายได้มากขึ้น และจะเพิ่มการผลิตกากถั่วเหลืองประเภท Full Fat Soy ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เกรดดี อีก 200 ตัน/วัน
ส่วนในต้นไตรมาส 3/62 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 500 ตันถั่วเหลือง/วัน จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 6,000 ตันถั่วเหลือง/วัน ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 6,500 ตันถั่วเหลือง/วัน โดยใช้เงินลงทุนไม่มากเพราะเป็นเพียงการขยายหน่วยผลิต อีกทั้งบริษัทจะลงทุน 500 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพของโรงบรรจุน้ำมันพืชอัตโนมัติเป็น 2.4 แสนลิตร/วัน จากปัจจุบันผลิตและขายได้ 2 แสนลิตร/วัน ซึ่งจะเริ่มในต้นปี 62
"ธุรกิจน้ำมันพืชเชื่อว่าธุรกิจนี้จะไปได้ดีต่อ หลังจากคนตื่นตัวเรื่องไขมันทรานส์ คนรู้จักเลือกรับประทานน้ำมันพืชที่ดี ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 62 ไทยมีกฎหมายชัดเจนไม่ให้มีการจำหน่ายไขมันทรานส์ ซึ่งน้ำมันพืช"องุ่น"ไม่มีไขมันทรานส์อยู่แล้ว"นายบวร กล่าว
ปัจจุบัน น้ำมันพืช"องุ่น" มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งกว่า 60% ของตลาดน้ำมันพืชจากถั่วเหลืองของไทย โดยตลาดน้ำมันพืช แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 70% และ 24% เป็นน้ำมันพืชจากถั่วเหลือง ส่วนที่เหลือมาจากน้ำมันพืชชนิดอื่น ขณะที่บริษัทมีสัดส่วนส่งออกน้ำมันพืช"องุ่น"ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ประมาณ 5% ของรายได้
ทั้งนี้ บวร กล่าวอีกว่า TVO เป็นหุ้นปันผลที่ดี โดยปีที่แล้วมีอัตราการจ่ายเงินปันผล 80% ของกำไรสุทธิ จากนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 60% ของกำไรสุทธิ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 4.7% ต่อปี
https://youtu.be/QenzcEI2-RY