นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนออกและเสนอขายหุ้นกู้ในปี 62 มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทเพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอนาคต อีกทั้งยังจะช่วยลดต้นทุนการเงินของบริษัทลงราว 1% หลังจากที่ทริสเรตติ้งปรับอันดับเครดิตเรตติ้งเป็น A- จากเดิมที่ B+ ทำให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง และสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่นั้น ปัจจุบันได้เริ่มก่อสร้างโรงงานในเฟสแรกขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) มูลค่า 4 พันล้านบาท โดยมีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วราว 10% คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในปลายปี 62 ซึ่งจะเน้นการนำแบตเตอรี่ไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพราะตลาดมีขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และ เฟส 2 จะเริ่มลงทุนหลังจากเห็นความสำเร็จของเฟสแรกแล้ว โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 49 GWh และขยายเทคโนโลยีและตลาดไปครอบคลุมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าและกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกด้วย โดยที่อยู่ระหว่างการเจรจากกับพันธมิตรที่มีความสนใจเข้าร่วมทุนโครงการดังกล่าว 5-6 ราย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ยังคงต้องรอประเมินผลของเฟสแรกก่อน จึงจะสามารถบอกรายละเอียดการลงทุนได้
ด้านแผนการลงทุนโรงงานผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลและกลีเชอรีนที่จะนำปาล์มมาเป็นวัตถุดิบ 1.2 ล้านลิตรต่อวัน งบลงทุน 2 พันล้านบาท เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์กรีนดีเซล และ PCM (สารแปรสภาพ) คิดเป็น 10% ของกำลังการผลิต ขณะนี้บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน โดยบริษัทมีเงินลงทุนรองรับโครงการดังกล่าว เพราะมีมูลค่าลงทุนไม่มาก ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มโครงการนำร่องแล้วราว 1 ตันต่อวัน เพื่อเป็นต้นแบบผลิตให้กับลูกค้าทดลองใช้
ขณะที่ความร่วมมือกับกลุ่ม บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คงอาจจะชะลอออกไป จากก่อนหน้านี้ทาง EA ได้มีการเจรจาจะร่วมลงทุนโครงการโรงงานผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลและกลีเชอรีนกับทาง PTTGC แต่การเจรจายังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ EA ตัดสินใจที่จะลงทุนโครงการดังกล่าวด้วยตัวเอง ซึ่งมีแหล่งเงินทุนเพียงพอในการรองรับการลงทุน
ส่วนการติดตั้งสถานีชาร์จรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขณะนี้มีการติดตั้งแล้วกว่า 300 แห่ง จากเป้าสิ้นปีจะดำเนินการติดตั้งจำนวน 1,000 แห่ง โดยเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อจับจองพื้นที่ไว้รองรับการเกิดขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และปลายปี 62 บริษัทเตรียมออกรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น ได้แก่ CITY CAR ราคา 600,000 บาท และ MPV ราคา 800,000-1,000,000 บาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
นายอมร กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 61 คาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานงานลม ประกอบกับช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.มีฝนตกมาก ทำให้มีกระแสลมแรงส่งผลให้กำลังการผลิตลมปรับเพิ่มเป็น 30% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 25% และโรงไฟฟ้าพลังงานลม "โครงการหนุมาน" จังหวัดชัยภูมิ ขนาดกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ เตรียมจะเริ่มจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 4/61 ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งจากโซลาร์และลมรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 664 เมกะวัตต์ ผลักดันให้รายได้และกำไรในปี 61-62 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
"แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทยังคงเป็นไปด้วยดีตามที่คาดไว้ หลักๆ มาจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม "โครงการหาดกังหัน"ที่ COD เมื่อกลางปีที่แล้ว และ"โครงการหนุมาน"ที่จะ COD ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีสำหรับ Wind Farm ที่ cycle ปกติของลมจะพัดแรงในช่วงฤดูฝน หรือระหว่างช่วงไตรมาส 3-4 ส่งผลให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะได้รับผลกระทบจากฤดูฝนจนทำให้ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงไปบ้าง แต่เมื่อรวมผลผลิตไฟฟ้าที่ได้จาก Wind Farm แล้ว ยังคงเห็นการเติบโตของรายได้และกำไรตามที่คาดไว้ ผลักดันให้กระแสเงินของบริษัทมีความแข็งแรงและพร้อมที่จะขยายการลงทุนโครงการใหญ่ต่างๆ ตามแผนงานที่วางไว้ได้ต่อไปในอนาคต"นายอมร กล่าว
อนึ่ง ผลการดำเนินงาน EA ในไตรมาส 2/61 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,926 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 985 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 มีรายได้รวม 6,754 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,932 ล้านบาท