PTT เผยลงทุนอินโดฯเน้นเทรดดิ้ง-สรุปส่งธุรกิจถ่านหินเข้าตลาดหุ้น H1/62,เลือกพันธมิตรรถไฟเชื่อม 3 สนามบินในก.ย.-ต.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 10, 2018 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า การลงทุนใหม่ในอินโดนีเซียขณะนี้จะยังคงเน้นการทำธุรกิจเทรดดิ้งที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการลงทุนเดิมในธุรกิจถ่านหินที่ขณะนี้จะเพิ่มความระมัดระวัง โดยมองโอกาสเรื่องการทำโรงไฟฟ้าถ่านหินบนพื้นที่ปากเหมือง และศึกษาเพื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะตัดสินใจว่าจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ในช่วงไตรมาส 1 หรือ 2 ของปี 62

"เราดูโฟกัสของเราที่ EEC เพราะ EEC เรายังมี room ที่จะลงทุนต่าง ๆ ได้เยอะ เราก็เลยเน้นที่นี่ ไม่ได้เน้น ตรงนั้น ก็เป็นจุดที่เราค้าขายอยู่ ในเรื่องสำรวจและผลิตเป็นเรื่องของปตท.สผ. ดูว่าสิ่งที่ลงผ่านมาและสิ่งที่จะลงต่อไปจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา แต่ก็มีจุดเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง"นายชาญศิลป์ ตอบคำถามกรณีที่กลุ่ม ปตท.เคยประกาศชะลอการลงทุนใหม่ในอินโดนีเซียต่อไป แม้ล่าสุดทางรัฐบาลอินโดนีเซียจะถอนคำฟ้องคดีมอนทาราออกไปเมื่อช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

นายชาญศิลป์ กล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่ม ปตท.มีการลงทุนอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด ทำให้กลุ่ม ปตท.ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอสรุปพันธมิตรที่จะเข้าร่วมประมูลที่ล่าสุดคัดเลือกเหลือ 2 กลุ่มในประเทศ ซึ่งเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเดินรถไฟฟ้า จากที่มีการเจรจาก่อนหน้านี้กว่า 10 กลุ่ม โดยจะคัดเลือกให้เหลือพันธมิตรเพียงกลุ่มเดียวต่อไป ซึ่งคณะกรรมการบริษัทจะมีการพิจารณาคัดเลือกได้ในการประชุมวันที่ 28 ก.ย.61 แต่หากไม่ทันก็ต้องเป็นช่วงเดือน ต.ค. ก่อนจะสรุปว่าจะเข้าร่วมยื่นประมูลโครงการดังกล่าวหรือไม่ในช่วงเดือนพ.ย.61 และคาดว่าโครงการจะคัดเลือกผู้ชนะประมูลได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 62

ทั้งนี้ หากกลุ่มปตท.จะเข้าร่วมลงทุนโครงการดังกล่าวจะดำเนินการในนามของบริษัท เอนเนอร์ยี คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ถือหุ้นโดยปตท. และปตท.สผ. ฝ่ายละ 50%

"ตอนนี้บอร์ดยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร แต่ตอนนี้จาก 10 กว่าเจ้าลงมาเหลือ 2 เจ้า ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าใคร ก็เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มที่เชี่ยวชาญรถไฟ ก็มีรถไฟลอยฟ้ากับรถไฟใต้ดิน ก็อยู่ในกลุ่มคนไทย ยังไม่ได้ตัดสินเพราะต้องรอฟังเรื่องสัญญาณบางอย่าง ถ้าจะไปยื่นเราก็ใช้ EnCo เพราะเป็นโครงการ PPP ต้องใช้เอกชนเข้าไปยื่น ปตท.เข้าไปไม่ได้เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ถ้ายื่นเรายื่นประมาณพฤศจิกาฯตามที่รัฐประกาศ คาดว่าจะตัดสินได้ไม่ไตรมาส 1 ก็ไตรมาส 2 ถ้าเราเข้าไปแล้วก็ต้องลุ้นทุกอย่าง อันนี้ก็จะเป็น NEW S-Curve Cash Flow แรกๆ ก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น"นายชาญศิลป์ กล่าว

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับการประมูลแหล่งปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัมปทานในปี 65-66 อย่างบงกชและเอราวัณนั้น ก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือปตท.สผ. ก็คงจะพิจารณาเข้าไปประมูลและกระบวนการตัดสินคงเป็นช่วงไตรมาส 1/62 ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีและมีความเหมาะสมในการยื่นเข้าประมูล

ส่วนกรณีที่บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของปตท. จะเข้าซื้อกิจการไฟฟ้าของบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) นั้น เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GLOW มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนในไทยต้องการขายธุรกิจออกมา ขณะที่ GPSC ก็มีการทำธุรกิจในบริเวณพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับ GLOW

หาก GPSC เข้าซื้อกิจการ GLOW ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะเกิดการ Synergy และช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเกิดโครงการลงทุนใน EEC ซึ่งการจะเข้าซื้อกิจการ GLOW ได้ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และกระทรวงพาณิชย์

นายชาญศิลป์ มองว่าการเข้าซื้อกิจการ GLOW ยังไม่น่ามีอำนาจเหนือตลาด เนื่องจากกำลังการผลิตของ GLOW และ GPSC รวมกันราว 5 พันเมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตรวมของทั้งประเทศที่ราว 3-4 หมื่นเมกะวัตต์ จากผู้ผลิตไฟฟ้ารวมมากกว่า 30 รายทั่วประเทศ นอกจากนี้กำลังการผลิตไฟฟ้าของ GLOW ที่มีราว 3 พันเมกะวัตต์นั้น ส่วนใหญ่รองรับลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด ไม่ได้เข้าระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศมากนัก ซึ่งหาก กกพ.อนุมัติให้เข้าซื้อกิจการ GLOW ได้กำลังการผลิตรวมกันก็จะทำให้อยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ เมื่อนับรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ด้วย

ส่วนหาก กกพ.ตัดสินให้สามารถซื้อกิจการ GLOW ได้หรือไม่ได้นั้น ก็เชื่อว่า GPSC จะมีมาตรการเตรียมตัวรองรับในเรื่องดังกล่าวแล้ว

"สิ่งที่เป็นกังวล สิ่งที่ทุกคนกังวล กังวลได้ และเป็นสิ่งที่จะสร้างความได้เปรียบโดยไม่เป็นธรรมก็กังวลได้ แต่กังวลบนเหตุบนผล เราเป็นมืออาชีพ เราคิดว่าสมมติว่าร่วมกันได้เราซื้อมา อย่างน้อยสายส่ง อย่างน้อยการซ่อมเครื่องจักร การดูแลเครื่องจักร การ Synergy หลายเรื่องร่วมกันได้...เราให้ความมั่นใจว่าเราทำงานด้วยมืออาชีพ เราจะดูแลลูกค้าและนโยบายนี้ก็จะส่งต่อไปยัง GPSC ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อเพราะเป็นลูกของกลุ่มเรา คนที่จะดูแลว่ามีอำนาจหรือไม่ผูกขาดไหมเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ แต่เราก็ยอมรับฟังข้อมูลที่ทักท้วง"

นายชาญศิลป์ ยังกล่าวด้วยว่า ธุรกิจร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนนั้น แม้ว่าจะมีการขยายงานออกมานอกสถานีบริการน้ำมัน แต่ก็มั่นใจไม่ได้ทำลายธุรกิจร้านกาแฟเล็กๆในตลาดที่มีมากกว่า 4 แสนราย

ด้านความคืบหน้าการศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการผลิตวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) นั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือน ธ.ค.นี้

นอกจากนี้ นายชาญศิลป์ ยังประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในระยะนี้น่าจะยังทรงตัวในระดับ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับกลางถึงสูง จากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ขณะที่ยังมีความต้องการใช้น้ำมันเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวดี และด้วยราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับนี้ทำให้มีการผลิตจากกลุ่ม Shale gas และ Shale oil ออกมาต่อเนื่อง ขณะที่ไทยยังคงนำเข้าน้ำมันดิบราว 80% ดังนั้น ก็ขอเรียกร้องให้ร่วมใจใช้พลังงานอย่างประหยัด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ