นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ (MEGA) กล่าวว่า บริษัทฯ คาดรายได้ครึ่งหลังปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกมีรายได้เติบโตแล้วกว่า 10.9% เป็นไปตามยอดขายภายใต้ผลิตภัณฑ์เมก้าวีแคร์ (MegaWecare) และผลิตภัณฑ์ Maxx care โดยมีสัดส่วนยอดขายรวมในประเทศคิดเป็น 20% และต่างประเทศคิดเป็น 80% ขณะที่ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ ยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมอีก 6-7 รายการ และยังอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 68 รายการ จึงมั่นใจว่าทั้งปีรายได้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6-10% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 9.63 พันล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ วางงบลงทุนรวมไว้ที่ 600 ล้านบาท โดยในต่างประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมก่อสร้างโรงงานผลิตยาในประเทศเมียนมา ภายใต้บริษัท MSNMEGA Pharma Limited ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกิจการร่วมค้า หรือบริษัท MEGA MSN Pte Ltd, ประเทศสิงคโปร์ ที่จัดตั้งขึ้นระหว่างบริษัทฯ และบริษัท MSN Labratories Private Limited ประเทศอินเดีย โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 62 และจะเริ่มผลิตและจำหน่ายได้ในปี 65 อย่างไรก็ตามการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาใหม่ จะจำหน่ายในประเทศเมียนมาและประเทศที่กำลังมีการพัฒนา ซึ่งก็น่าจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
นอกจากนี้ การลงทุนภายใต้บริษัทร่วมค้าดังกล่าว ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการดำเนินงานก่อสร้างในส่วนของศูนย์กระจายสินค้าในประเทศเมียนมา ซึ่งเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่ใช้สอย 1.4 หมื่นตารางเมตร เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ Maxx care ที่จะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการส่งสินค้าดังกล่าวไปทั่วประเทศ หรือร้านค้าประมาณ 3 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะก่อสร้างสำนักงานในประเทศเมียนมาต่อไป คาดว่าจะเปิดใช้งานไม่เกินปี 62
สำหรับการลงทุนในประเทศไทย ในการขยายกำลังการผลิตรูปแบบใหม่และคลังสินค้า ที่ติดกับที่ตั้งโรงงานเดิมของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนธ.ค.62 อย่างไรก็ตามการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวเป็นการปรับปรุงต่อยอดจากโรงงานเดิม ที่ปัจจุบันมีอายุการใช้งานมานานแล้ว และมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 60-70%
นายวิเวก กล่าวว่า ส่วนการขยายตลาดไปยังประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันได้มีการส่งผลิตภัณฑ์เข้าไปรุกตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการพัฒนายาร่วมกับพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนทั้งในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) กับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซีย ในการตั้งโรงงานผลิตยาในผลิตภัณฑ์ยาที่บริษัทฯ ไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปได้ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถเห็นความชัดเจนได้ในขณะนี้
"ครึ่งปีแรกรายได้เติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเราก็เชื่อว่าทั้งปีก็น่าจะเติบโตไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ หรือประมาณ high single digit 6-10% จากยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีการเติบโตได้ดี และการขยายไปในประเทศใหม่ๆ โดยปัจจุบันเราก็มีการขยายไปยังทวีปแอฟริกา และเนปาล"
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care 52% โดยมียอดขายหลักมาจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 80%, แอฟริกา 11% และอื่นๆ 9% และธุรกิจการจัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า Maxxcare 45% ซึ่งเป็นยอดขายจากประเทศเมียนมา 62%, เวียดนาม 26% และกัมพูชา 12% ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต 3%