นายวิเศษ จูงวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมในกลุ่มบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) และนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ให้ความสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาได้ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกราว 10 เมกะวัตต์ จากเดิมที่ลูกค้าเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าไปแล้ว 9 โครงการ จำนวน 4.8 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมให้ความสนใจพลังงานที่เป็น Clean Energy ที่สามารถช่วยลดต้นทุน ประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม อันถือเป็นโครงการนำร่องที่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ สามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้
พร้อมกับเดินหน้าการติดตั้งและบริการแบบครบวงจรในโครงการโซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในไตรมาส 3/61 นี้จะมีการติดตั้งและบริการแล้วเสร็จได้ทั้งสิ้นเพิ่มอีก 2.6 เมกะวัตต์ และล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญาร่วมกับบริษัท อีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย จำกัด ในการติดตั้งแผง solar rooftop จำนวน 0.50 เมกะวัตต์ ที่โรงงานของ Electrolux ซึ่งตั้งอยู่ในเขตประกอบการดับบลิวเอชเอระยอง ซึ่ง Electrolux จะประหยัดพลังงานตลอดระยะสัญญา 20 ปี โดยไม่มีการลงทุนหรือการบริหารจัดการแต่อย่างใด
นายวิเศษ คาดว่ารายได้ในปี 62 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากกว่าปีนี้ที่วางเป้ารายได้เติบโต 10-15% จากการที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้น 33 เมกะวัตต์ เป็น 553 เมกะวัตต์ จากสิ้นปีนี้ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ COD แล้วอยู่ที่ 520 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ จะมี 2 โครงการผลิตไฟฟ้าที่จะเริ่ม COD ในต้นปี 62 ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า SPP กำลังการผลิต 133 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทถือหุ้น 25% หรือคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 30 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่ม COD ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 62 และมีโรงไฟฟ้าขยะ กำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุน 3 เมกะวัตต์ ที่จะเริ่ม COD ในช่วงต้นปี 62 เช่นเดียวกัน อีกทั้งยอดขายน้ำในนิคมอุตสาหกรรมยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะรับรู้รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในนิคมฯเข้ามาเต็มปีในปีหน้าด้วย
ส่วนแผนการลงทุนในปี 62 บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา ได้แก่ โครงการศึกษาการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในนิคมอุตสาหกรรมในนิคมอีเทิร์นซีบอร์ด 3 ที่อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับพันธมิตร คือ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) , มิตซุย ซูมิโตโม่, โตเกียวแก๊ส โดยคาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ภายในปี 62 หลังจากที่โครงการวางท่อส่งก๊าซในนิคมอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอีเทิร์นซีบอร์ด 2 ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มให้บริการในช่วงปลายปีนี้
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศซึ่งยังคงเน้นไปที่การลงทุนในเวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าโครงการบริหารจัดการสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่ม WHA จะเริ่มก่อสร้างภายในปี 62 และจะเริ่มจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมได้ในปี 63 ปัจจุบันยังต้องรอรวบรวมรายชื่อของลูกค้าที่เข้ามาใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามจากทาง WHA ก่อน
นอกจากนี้ยังมีการความสนใจลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจระบบบริหารจัดการสาธารณูปโภคนอกนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการซื้อกิจการที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในเวียดนาม หรือเป็นการร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะชัดเจนในปี 62 พร้อมกับสนใจเข้าลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในเวียดนามเช่นเดียวกัน เนื่องจากแนวโน้มอัตราการขายไฟฟ้า ของโครงการพลังงานลมมีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 0.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หน่วย เป็น 0.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หน่วย ขณะที่โครงการโซลาร์ฟาร์มในเวียดนามมีอัตราการขายไฟฟ้า ลดลงมาเป็น 0.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หน่วย จากเดิมที่ 0.935 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หน่วย แต่บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าลงทุนทั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์ เพราะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจและยังเป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจะลงทุนในเฟสที่ 2 และคาดว่าจะชัดเจนภายในปี 62
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำงบลงทุนปี 62 และงบลงทุนในช่วง 5 ปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นใหม่และการลงทุนในโครงการต่อเนื่อง โดยจะนำเสนอใหมที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีโอกาสใช้งบลงทุนมากขึ้นกว่าปีนี้ที่ 1.8 พันล้านบาท โดยงบลงทุนตามปกติของบริษัทจะอยู่ที่ราว 1.8-2 พันล้านบาท ซึ่งจะใช้รองรับการลงทุนโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่