นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าปี 61 จะสามารถมีกำไรไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ระดับ 635.36 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนราว 110 ล้านบาท แต่ บริษัทมีการเติบโตของรายได้ค่อนข้างมาก ทำให้คาดว่ากำไรปีนี้จะยังมีทิศทางที่ดี
โดยในปีนี้บริษัทมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าเพิ่มเติม 2 แห่ง ได้แก่ โครงการ Greenovatioin Power (GNP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 67.5 เมกะวัตต์ เริ่ม COD ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.61 และโครงการ Korat Wind Evergy ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ COD ตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.61
ประกอบกับ บริษัทมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) จากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า 800-900 ล้านบาท และจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล จำกัด (FEC) ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) 800-900 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 600 ล้านบาท
นางสาวโศภชา กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จำนวน 5-6 พันล้านบาท/ปี สำหรับการลงทุนขยายโครงการโรงไฟฟ้าให้มีกำลังการผลิตแตะ 1,000 เมกะวัตต์ในปี 63 ตามแผนธุรกิจที่วางไว้
ขณะที่บริษัทคาดว่าในปี 62 กำไรก่อนหักภาษี, ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จะแตะที่ระดับ 2 พันล้านบาท จากสัดส่วน EBITDA ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ 90% และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจเทรดดิ้ง 10% โดยบริษัทมองว่าสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจรับเหมาฯและเทรดดิ้งอยู่ที่ระดับ 20% จากแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งมองว่ามีงานโครงการรองรับมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานโครงการเคเบิลใต้ดินใน 4 หัวเมืองใหญ่ มูลค่าโครงการรวม 1.6 หมื่นล้านบาท โดยคาดหวังจะได้รับงานอย่างน้อย 4 สัญญา จากทั้งหมด 16 สัญญา ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 4/61 ถึงไตรมาส 1/62
อีกทั้งบริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Micro Grid) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มูลค่ารวมราว 4-5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าจะได้งานราว 30% ของมูลค่าทั้งหมด และคาดว่าจะสามารถมีความชัดเจนได้ภายในปีนี้
น.ส.โศภชา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทได้รับความร่วมมือจากบริษัทพันธมิตรท้องถิ่น 2 รายเพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศเวียดนามจำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตราว 20-50 เมกะวัตต์ต่อโครงการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเฉลี่ย 40 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญาความร่วมมือ (MOU) แล้วทั้ง 2 ราย คาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนในการก่อสร้างได้ภายในปีนี้
บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศมาเลเซียจำนวน 2 ราย ซึ่งปัจจุบันมีการทำสัญญาซื้อขายไฟ (PPA) แล้วแล้ว 1 ราย และคาดว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มแล้วเสร็จภายในปี 62 ขนาดกำลังการผลิต 29 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการราว 1 พันล้านบาท