นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวขึ้นกันเกือบยกแผง ตอบรับข่าวดีที่เริ่มเข้ามา จากการที่สหรัฐฯกำลังหาทางเริ่มต้นเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่จีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า และค่าเงินใน Emerging Market เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเงินรูปีของอินเดียเริ่มแข็งค่าขึ้น และรูเปียห์ของอินโดนีเซียก็เริ่มนิ่ง ทำให้เงินทุนไหลออกจาก Emerging Market เบาลง
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่งส.ว. ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทำให้มีความชัดเจนในการเลือกตั้งมากขึ้น และเท่าที่ดูก็มีกระแสตอบรับเรื่องนี้มาก ซึ่งตลาดฯเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อการเลือกตั้งมากขึ้น โดยแนะนำหุ้นที่เกี่ยวข้อง STEC, ROBINS, MACO เป็นต้น พร้อมให้แนวต้าน 1,695 จุด ส่วนแนวรับ 1,675 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,998.92 จุด เพิ่มขึ้น 27.86 จุด (+0.11%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด (+0.04%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,954.23 จุด ลดลง 18.25 จุด (-0.23%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 53.34 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 23.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 453.35 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 4.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.36 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.27 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.70 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ก.ย.61) 1,679.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.97 จุด (+0.42%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,639.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ก.ย.61) ปิดที่ 70.37 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ก.ย.61) ที่ 5.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.63 แข็งค่าจากวานนี้ รับเม็ดเงินไหลเข้าจากประเด็นการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจน
- คนร.ไฟเขียวควบรวม "ทีโอที-กสท"เป็นบริษัทโทรคมนาคม แห่งชาติ เตรียมเสนอ ครม.เดือนพ.ย.นี้ คาดจัดตั้งบริษัทใหม่ได้ก.พ.ปีหน้า เผยเหตุสหภาพทั้ง 2 แห่งยอมเปิดทางควบรวม จากมติให้ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เชื่อได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
- ราชกิจจาฯ ประกาศใช้กฎหมาย ส.ส.-ส.ว. แต่ยังไม่นับ ถอยหลังสู่ศึกเลือกตั้ง เหตุ ม.หน่วงเวลาให้ต้องพ้น 90 วัน ก่อนจะนับถอยหลังอีก 150 วันเป็นทางการ คาดเลือกตั้งช่วงเดือน เม.ย.หรือ พ.ค. 62 "บิ๊กตู่" ลั่นประชาธิปไตยเกิดแน่ แต่ต้องเลิกความขัดแย้งให้ได้ "โอด" ตัวเอง ทน อึด เหมือนยาง มิชลิน ฝันอยากเป็นเหมือน "ป๋า" ไม่ตอบโต้ใคร
- เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยปัจจุบันมูลค่าตลาดทุนไทยคิดเป็น 115% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% แต่มีนักลงทุนที่ลงทุนผ่านตลาดทุนเพียง 3-4 ล้านรายเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศเพราะเข้าใจยาก เมื่อลงทุนแล้วก็ขาดทุน เนื่องจากไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะธุรกิจที่ให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุน มุ่งดูแลกลุ่มผู้มีเงินลงทุนสูงเป็นหลักแต่ครั้งนี้จะทำให้คนที่มีเงินไม่มากก็สามารถมาใช้บริการได้
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผย ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่ระดับ 46.3 ในเดือน ก.ค. มาอยู่ที่ระดับ 46.5 ในเดือน ส.ค. เนื่องจากครัวเรือนเกษตรบางส่วนมีความกังวลลดลงต่อประเด็นเรื่องภาระหนี้สินในอนาคต ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ อย่างมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย
- รมว.คลังระบุขณะนี้ธปท.ยังไม่มีความจำเป็นขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจไปสั่งธปท.ได้แต่ดูภาพรวมกว้างๆ แล้วเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ย เพราะอัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่ได้ตามกรอบที่วางไว้
*หุ้นเด่นวันนี้
- BKD-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.บางกอก เดค-คอน (BKD)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 358,726,992 หน่วย ราคา 0.00 บาท/หน่วย อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 4 ปี 3 เดือน อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาใช้สิทธิ ปีที่ 1 เท่ากับ 4 บาท/หุ้น, ปีที่ 2 เท่ากับ 4 บาท/หุ้น, ปีที่ 3 เท่ากับ 4.50 บาท/หุ้น, ปีที่ 4 เท่ากับ 5 บาท/หุ้น และปีที่ 5 เท่ากับ 5.50 บาท/หุ้น กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 พ.ย.61 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 30 พ.ย.65
- STEC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 25 บาท เก็งกำไรภาพการเมืองในประเทศชัดเจน และภาครัฐเตรียมเปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการ PPP fast track
- MINT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 44 บาท คาดกำไร H2/61 โดดเด่นกว่า H1/61 เพราะ Q3 เป็น High Season ของโปรตุเกสและต่อด้วย Q4 ในไทย ซึ่งต่างจากโรงแรมอื่นที่ Q3 จะทรุดหนัก อีกทั้ง คาดว่าธุรกิจอาหารจะฟื้นทั้งรายได้และมาร์จิ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งที่มักได้อานิสงส์เชิงบวกเสมอ ด้าน NVDR ซื้อเร่งขึ้นในลักษณะ U-Shape มีต้นทุนเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 39.50 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบัน MINT จึงไม่ใช่หุ้นเป้าหมายที่ต่างชาติจะขายทำกำไรรอบนี้
- MTC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 50 บาท แนวโน้ม H2/61 ผลประกอบการดีกว่า H1/61 จากสาขาที่เปิดใหม่ในช่วง H1/61 จำนวน 465 สาขา คิดเป็น 16% ของทั้งหมด 2,889 สาขา จะเริ่มรับรู้ได้เต็มไตรมาส และเข้าสู่ช่วง High Season ของสินเชื่อ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่และเด็กนักเรียนเปิดเทอม ทำให้ความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มสูงขึ้น โดย MTC อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำสัญญาเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดในอนาคต จากก่อนหน้ากลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ฟ้องร้อง MTC คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ 15% ต่อปี ต่อศาลแพ่งแบบกลุ่ม ปัจจุบันอยู่ระหว่างไต่สวนร้อง ว่าจะรับคำร้องให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือไม่ คาดทราบผลพ.ย.61 โดย MTC แยกออกเป็น 2 สัญญา คือ (1) สัญญาเงินกู้ คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ต่อปี และ (2) นาโนไฟแนนซ์ คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 36% ต่อปี ทำให้ยังคงรักษาระดับ Yield ได้ที่ 23% ด้าน พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน คาดช่วยให้ธุรกิจของ MTC ชัดเจนยิ่งขึ้น