นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยทั้งปีมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะพลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 1.44 พันล้านบาท เนื่องจาก ในงวด 6 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรแล้วกว่า 1.42 พันล้านบาท โดยปีที่แล้วขาดทุนเพราะเกิดจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติที่เกิดขึ้นระหว่างปี รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างราคายางในตลาดซื้อขายล่วงหน้ากับราคาตลาดยางพาราในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้ลดลง รวมถึงมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
สำหรับราคายางยังประเมินได้ยากโดยราคายางในประเทศขณะนี้อยู่ที่ราว 41-42 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่ในระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัม และมีราคาต่ำสุดที่ 36 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคายางที่มีความผันผวนทำให้บริษัทประเมินรายได้ค่อนข้างยาก แต่บริษัทได้เดินหน้ากลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยปีนี้บริษัทเน้นการจำหน่ายสินค้าสำเร็จรูปคือถุงมือยางและถุงมือทางการแพทย์
นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขายยางธรรมชาติ 1.4 ล้านตัน เติบโต 6% จากปีก่อน ขณะที่ยอดจำหน่ายถุงมือยาง คาดว่าจะจำหน่ายได้ 2 หมื่นล้านชิ้นต่อปี เติบโต 25% จากปีก่อนที่ 1.6 หมื่นล้านชิ้นต่อปี โดยสัดส่วนรายได้กว่า 84% มาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นในจีน 42% , เอเชีย 24%, สหรัฐฯและยุโรป 8% ที่เหลือตลาดอื่นๆ ส่วนอีก 20% จะเป็นการขายในประเทศ
นอกจากนี้บริษัทได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยาง โดยปลายปีนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3.2 พันล้านชิ้นต่อปี ทำให้สิ้นปีจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1.7 หมื่นล้านชิ้นต่อปี อีกทั้งล่าสุดที่บริษัทเข้าลงทุนในบริษัท ไทยกอง จำกัด (TK) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตถุงมือยาง ผ่านการถือหุ้นของบริษัท ไทยกอง กรุ๊ป จำกัด (TKG) โดยไทยกองมีกำลังการผลิตถุงมือยางอยู่ที่ 4 พันล้านชิ้นต่อปี โดยคาดว่ากำลังการผลิตดังกล่าวจะเข้ามาในบริษัทช่วงไตรมาส 2/62 ทำให้ในปี 62 บริษัทจะมีกำลังการผลิตถุงมือยางราว 2.1 หมื่นล้านชิ้นต่อปี
ทั้งนี้การที่บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง เพื่อสอดคล้องกับความต้องการถุงมือยางโลกที่เติบโต 15% โดยตลาดหลักของบริษัทจะอยู่ในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย เช่นในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งถุงมือยางมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ทึ่ระดับ 20-22% สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ 18% ทำให้บริษัทคาดว่าระดับมาร์จิ้นของบริษัทจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายในระยะ 3-5 ปีจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ถุงมือยาง ติด TOP3 ของโลก จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ TOP5
สำหรับงบลงทุนปีนี้บริษัทตั้งไว้ 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตถุงมือยาง 1.2 พันล้านบาท และลงทุนยางแท่ง 1.2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการปรับปรุงทั่วไป ส่วนงบลงทุนปีหน้าอาจจะลดลงจากปีนี้เพราะจะมีการลงทุนที่น้อยลงโดยเฉพาะในส่วนของยางแท่ง