นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกเล็กน้อย เนื่องจากกระแสเงินทุนต่างประเทศมีสัญญาณเป็นบวกหลังจากที่มีความคืบหน้าการเลือกตั้งชัดเจนขึ้น โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิ และได้มีการทำ Long ในตลาดฟิวเจอร์ด้วย รวมถึงนักลงทุนสถาบันก็เข้ามาซื้อสุทธิ แสดงให้เห็นว่ามี Fund Flow ไหลเข้ามา
นอกจากนี้ ค่าเงินใน Emerging Market มีเสถียรภาพมากขึ้น และก็มีการแข็งค่าขึ้นด้วย หลังจากที่ธนาคารกลางตุรกีได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 6.25% มาสู่ระดับ 24% ทำให้ค่าเงินตุรกีแข็งค่าขึ้น และส่งผลดีต่อค่าเงินใน Emerging Market รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ออกมาขยายตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาด ทำให้เห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องรีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน ซึ่งล่าสุดทางจีนได้ตอบรับคำเชิญจากสหรัฐฯแล้ว แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ออกมาระบุว่ายังไม่ต้องรีบเจรจาก็ได้ ท่าทีของ"ทรัมป์"ทำให้สร้างความสับสนให้กับตลาดฯ ดังนั้นจึงติดตามดูต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,710 จุด ส่วนแนวต้าน 1,725-1,730 จุด ที่บริเวณแนวต้านระวังการแกว่งตัวด้วย
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,145.99 จุด เพิ่มขึ้น 147.07 จุด (+0.57%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,013.71 จุด เพิ่มขึ้น 59.48 จุด (+0.75%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด (+0.53%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 214.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.20 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 215.30 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49.30 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 18.47 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 14.45 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.04 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ก.ย.61) 1,717.96 จุด เพิ่มขึ้น 38.57 จุด (+2.30%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,992.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.ย.61) ปิดที่ 68.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ก.ย.61) ที่ 5.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.61 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 32.55-32.65 รอดูยอดค้าปลีกสหรัฐฯคืนนี้
- ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2561 ได้อนุมัติลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงาน 4 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 1.67 แสนล้านบาท
- ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 4 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นำเสนอข้อมูลกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพราะเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่มีความมั่นคงระยะยาว ไม่ต้องปรับพอร์ตตลอดเวลา และมีความเสี่ยงต่ำ
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปรับประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2561 ใหม่ มาอยู่ที่ 4.6% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ 4.4% โดยมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังโตต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
- ก.ล.ต.เผยหลังปรับปรุงเกณฑ์กำกับการออกตราสารหนี้ใหม่ ฉุดแนวโน้มการออกตั๋ว B/E ลดลง โดยยอดคงค้างปัจจุบันแตะ 2.6 แสนล้านบาท ลดลง 1.3 แสนล้านบาท ขณะบริษัทค้างชำระหนี้เหลือ 11 บริษัท
- "คมนาคม" เร่งแผน เบิกจ่ายงบลงทุน 3 หน่วยหลัก กรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท-รฟท. ปี 61 วงเงินกว่า 1.46 แสนล้าน หลังกรมทางหลวง และรฟท.ยังเบิกจ่ายล่าช้า เหตุติดปัญหาเวนคืน "มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี" และรถไฟทางคู่
*หุ้นเด่นวันนี้
- MACO-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,375,542,814 หน่วย อายุ 3 ปี ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาใช้สิทธิ 2.10 บาท/หุ้น กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 30 ก.ย.63 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายวันที่ 27 ส.ค.64
- ROBINS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 72 บาท เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่คาดว่าจะได้ผลบวกจากเม็ดเงินหมุนเวียนและสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้งเนื่องจาก ROBINS มีสัดส่วนรายได้จากฐานลูกค้าในต่างจังหวัดคิดเป็น 40% ของรายได้รวมขณะที่ Valuation ถูกสุดของกลุ่ม (PE 23 เท่าเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 26-28 เท่า)
- IRPC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท กำไร Q3/61 อาจชะลอทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการปิดซ่อมโรงกลั่น แต่จะไปเร่งใน Q4/61 ต่อเนื่องถึง Q1/62 จาก GRM ที่เพิ่มขึ้นตามการ COD โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ส่วนเพิ่ม คาดกำไรปกติทั้งปี 1.3 หมื่นล้านบาท +22% Y-Y ด้านราคาหุ้นมีโอกาสถูก Cover Short จากทั้งยอด Short ใน IRPCU18 และ IRPCZ18 ตั้งแต่ต้น ก.ย. 61 ที่มี OI รวมกัน 2.8 หมื่นสัญญา (28 ล้านหุ้น) ราคาเฉลี่ย 6.87 บาท และยอด Short Sales ในช่วงเวลาเดียวกันอีก 14.6 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 6.69 บาท
- BBL (ไอร่า) เป้า 229 บาท ได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนใหม่ในช่วง H2/61 ซึ่ง BBL มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ จากต้นทุนที่ต่ำ ขณะที่สภาพคล่องสูงกว่า ขณะที่อัตราดอกเบี้ย เริ่มเข้าสู่ขาขึ้น คาดส่งผลดีต่อ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่ ทางด้านสงครามการปรับลดค่าธรรมเนียม คาด BBL ได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จากความร่วมมือกับ AIA คาดช่วยหนุน Non-NII ของ BBL ในช่วง H2/61 นอกจากนี้คาด NPL Formation เริ่มทรงตัวทำให้คาดตั้งสำรองหนี้ลดลงจากปีที่ผ่านมา พร้อมมองผลประกอบการคาดในปี 61 มีกำไรสุทธิ 35,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%