นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,805 จุด โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่ายังมีแนวโน้มที่ดี หลังเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่ง ประกอบกับราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยมี P/E ที่ 16 เท่า เมื่อเทียบกับ EPS Growth ที่ 10% อีกทั้งช่วงครึ่งหลังของปีมองว่าข้อพิพาททางการค้าจะผ่อนคลายลงหลังสหรัฐมีนัดเจรจากับแคนาดาเป็นครั้งที่ 2 เพื่อบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่สำหรับประเด็นการเกินดุลการค้า
ขณะที่ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคาดว่าจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น หลังสหรัฐมีการทำประชาพิจารณ์ และการเก็บภาษีจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเป็นการทยอยเก็บภาษีในระยะยาว ซึ่งทำให้ตลาดคาดหวังว่าอาจมีการเจรจาเกิดขึ้นในการประชุมระหว่างสุดยอดผู้นำในเดือนพ.ย.61 และมีการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐด้วย
สำหรับการโจมตีค่าเงินของกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงด้านฐานะทางการเงินสูง อาทิ อาร์เจนตินา ตุรกี บราซิล อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มองว่าไม่กระทบไทยเนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไทยดี เติบโตสูงที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสิ้นปี 61 จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ระดับต่ำเพียง 0.6% และภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ปัจจุบันไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง และสัดส่วนหนี้สินต่างประเทศไม่เกิน 30% และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง
"สถานะของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับภูมิภาค ประเทศอื่นตอนนี้กำลังพยายามปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ไทยสถานะทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งเรามีเอกภาพในการตัดสินใจ..ขณะที่ไทยกำลังถูกมองว่าเป็น Save Heaven จากเหตุการณ์โจมตีค่าเงินทำให้เงินไหลเข้าตราสารหนี้กว่า 7.5 หมื่นล้านบาท" นายประกิตกล่าว
ปัจจุบันนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้จากงาน THAILAND FOCUS 2018 ที่มีนักลงทุนสถาบันเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ประกอบกับรัฐบาลมีการนำเสนอยุทธศาสตร์การลงทุนและการวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประเทศไทยในระยะยาว และเมื่อการเลือกตั้งชัดเจนคาดว่าจะมีเม็ดเงินการลงทุนเพิ่มขึ้น อาทิ ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC), โครงการรถไฟฟ้า และตลาดตราสารทุน
ทั้งนี้ แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL,KTB), กลุ่มการเงิน (MTC), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (SIRI, ORI, LH, SPALI), กลุ่มค้าปลีก (CPN, ROBINS), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), กลุ่มขนส่ง (JWD, BEM) และ IVL
นายประกิต กล่าวอีกว่า ในช่วงวันที่ 13-14 ก.ย.61 ยังต้องติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง ที่อยู่ระหว่างรอการโปรดเกล้าฯพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่งส.ว. ซึ่งตามกระบวนการทางกฎหมายหากมีการโปรดเกล้าฯ จะส่งผลให้การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีการหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งส.ส.ภายในระยะเวลา 150 วัน หลังกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประกาศครบหมดแล้ว ซึ่งทำให้คาดว่ากรอบระยะเวลาการเลือกตั้งจะอยู่ภายใน 24 ก.พ.-5 พ.ค.62 ตามคาดการณ์ของการประชุมระหว่างรัฐบาลและพรรคการเมือง
อย่างไรก็ดี หากไม่มีการโปรดเกล้าฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะต้องมีการจัดประชุมเพื่อทบทวนกฎหมายที่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ และหากยืนยันในกฎหมายเดิมนายกรัฐมนตรีจะมีการยื่นทูลเหล้าฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีการโปรดเกล้าฯ ในระยะเวลา 30 วัน จะสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ทันที แต่หากสนช.เห็นว่าจำเป็นต้องมีการแก้กฎหมายจะส่งผลให้การเลือกตั้งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามคาด โดยบล.กสิกรไทยประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงกว่า 88 จุดจากเป้าหมาย
https://youtu.be/Cp6ZeiQ8uus