ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้"ทางยกระดับดอนเมือง"ที่ "BBB+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 17, 2018 14:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง ที่ระดับ "BBB+" อันดับเครดิตสะท้อนถึงความได้เปรียบทางกลยุทธ์จากการมีทางยกระดับที่อยู่ในทำเลที่ดี รวมทั้งความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ และการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากกระแสเงินสดที่พึ่งพิงทางยกระดับเพียงเส้นทางเดียวและความไม่แน่นอนในความถูกต้องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัทครั้งหลังสุดซึ่งต้องรอคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ทางยกระดับที่อยู่ในทำเลที่ดีและมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ทางยกระดับของบริษัทอยู่ในทำเลที่ดีซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมจากใจกลางกรุงเทพมหานครกับสนามบินนานาชาติดอนเมืองและเป็นเส้นทางหลักไปสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปริมาณการจราจรบนทางยกระดับของบริษัทมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7.5% ในช่วงปี 2556-2560 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ปริมาณจราจรยังคงเติบโต 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณจราจรจะยังคงเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3% ในช่วงปี 2561-2562 โดยในปี 2563 ปริมาณจราจรจะลดลง 1% เนื่องอัตราค่าผ่านทางจะเพิ่มขึ้นถึง 14.3% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราค่าผ่านทางที่เพิ่มขึ้นมากจะช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของปริมาณจราจร ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2561 และ 2562 และเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2563

ความเสี่ยงด้านกฎหมายยังคงกดดันอันดับเครดิต ความถูกต้องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัทครั้งหลังสุดยังคงเป็นประเด็นหลักที่กดดันอันดับเครดิตของบริษัท โดยคำพิพากษาที่เป็นประโยชน์กับผู้ฟ้องอาจส่งผลให้อายุสัญญาสัมปทานสิ้นสุดในปี 2564 แทนที่จะสิ้นสุดในปี 2577

การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัทครั้งหลังสุดดำเนินการเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2550 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 และวันที่ 10 เมษายน 2550 โดยได้มีการชดเชยความเสียหายของบริษัทที่เกิดจากการกระทำของภาครัฐที่ต่างไปจากที่ได้ตกลงไว้ในสัญญาสัมปทาน กล่าวคือ ได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขในประเด็นสำคัญในสัญญาสัมปทาน ได้แก่ การขยายอายุสัญญาสัมปทานเพิ่มจากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2564 ไปเป็นปี 2577 และการกำหนดอัตราการเพิ่มค่าผ่านทางไว้ล่วงหน้าตามการแก้ไขสัญญาในครั้งก่อน

บริษัทมีกรณีถูกฟ้องร้องต่อศาลปกครองจำนวน 3 คดีซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความถูกต้องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด ทั้งนี้ ภายหลังจากการดำเนินกระบวนการทางศาลเป็นเวลาหลายปี ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายกฟ้อง 2 คดีจากทั้งสิ้น 3 คดี ส่วนคดีที่ยังอยู่ในกระบวนการทางศาลนั้น ผู้ฟ้องอ้างว่ามติคณะรัฐมนตรีซึ่งอนุมัติการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยในปี 2558 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังคงอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทยังคงมั่นใจว่าผลของคำพิพากษาจะออกมาในทางบวก

การพึ่งพิงแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียว บริษัทดำเนินงานทางยกระดับเพียงเส้นทางเดียว ดังนั้นปริมาณจราจรจึงผันผวนได้ง่ายเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ปริมาณจราจรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2540 การย้ายสนามบินนานาชาติกรุงเทพจากดอนเมืองไปสุวรรณภูมิหรือการเปิดให้บริการทางด่วนที่เป็นเส้นทางคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ปริมาณจราจรบนทางยกระดับของบริษัทก็ฟื้นตัวขึ้นหลังจากเหตการณ์ผ่านไปและมีการเติบโตที่สม่ำเสมอตั้งแต่ปี 2544 เมื่อมองไปข้างหน้า

ทริสเรทติ้งคาดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจที่สำคัญใดใด ที่จะส่งผลให้ปริมาณจราจรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะปานกลาง คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะลดลงภาระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทลดลงเป็น 22.8% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 จาก 51.5% ในปี 2556 บริษัทไม่มีแผนการลงทุนที่สำคัญในอนาคต ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทมีงบลงทุนตามปกติ 420 ล้านบาทโดยจะใช้กระแสเงินสดภายในในการลงทุน บริษัทยังมีความสนใจจะเข้าร่วมประมูลโครงการทางด่วนในเมืองและทางด่วนระหว่างเมือง อย่างไรก็ตาม โครงการทางด่วนใหม่นั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของภาครัฐ

เนื่องจากความไม่แน่นอนจากคำพิพากษาของศาล บริษัทมีแผนจะชำระคืนหนี้ทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2563 จากเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี บริษทจะสามารถชำระหนี้คงค้างจำนวน 3,537 ล้านบาทได้ภายในปี 2563

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ สถานะสภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีแหล่งเงินทุนประกอบด้วยเงินสดจำนวน 195 ล้านบาทและเงินลงทุนจำนวน 682 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 2,000 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมื่อรวมสภาพคล่องทั้งหมดของบริษัทแล้วคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ การลงทุนของบริษัท และเงินปันผลใน 12 เดือนข้างหน้า โดยในปี 2561 บริษัทจะต้องไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 800 ล้านบาท และงบลงทุนจำนวน 173 ล้านบาท ผู้บริหารของบริษัทคาดว่าบริษัทจะยังคงจ่ายเงินปันผลปีละประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 0.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 2 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและนโยบายทางการเงินของบริษัทที่มั่นคงและคาดการณ์ได้ ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,600 ล้านบาทในปี 2563 บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทไม่มีการลงทุนที่สำคัญในอนาคตดังนั้นคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงอย่างสม่ำเสมอ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะมากกว่า 80% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะสูงกว่า 15 เท่าตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตัดสินยืนยันความถูกต้องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งหลังสุด ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีการจ่ายเงินปันผลจากกำไรเป็นจำนวนมากจนส่งผลให้ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของบริษัทลดลงอย่างมากในอีก 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ