นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่โรดแมพการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้นจะส่งผลให้นโยบายการลงทุนต่าง ๆ ของภาคเอกชนออกมามากขึ้น จึงเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/61 ยอดคำสั่งซื้อเหล็กจะมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตราว 15% มาที่ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ ขณะที่ยังอยู่ระหว่างรอเครื่องจักรเพิ่มเติมอีก 2 เครื่อง มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 13 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 79,000 ตันต่อปี จากเดิมที่ 65,000 ตันต่อปี
"ปีนี้ภาพรวมอาจจะไม่ดีเท่าไหร่เพราะช่วงครึ่งปีแรกเราได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามเรามองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยในช่วงครึ่งปีหลังทิศทางผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น หลังภาครัฐให้ความชัดเจนเกี่ยวกับโรดแมพการเลือกตั้ง จึงจะสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนให้ออกมามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป"นายศุภกิจ กล่าว
นายศุภกิจ กล่าวอีกว่า สำหรับรายได้ในปี 62 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าเท่าตัว โดยเป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตเป็น 120,000 ตันต่อปี โดยจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/62 รองรับกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้น ตามการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ และการขยายการลงทุนของภาคเอกชน
นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทเตรียมขยายสาขาค้าปลีกในพื้นที่สาขาของ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ไม่ต่ำกว่า 100 สาขา โดยจะใช้งบลงทุนราว 800,000-3,000,000 บาท/สาขา ซึ่งในเดือน ก.ย. ได้เปิดแล้ว 1 สาขา และในปี 61 นี้จะเปิดสาขาราว 10 สาขา โดยในธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นการขายสินค้าค่อนข้างดี และถือว่ามีการเติบโตสูง โดยบริษัทจะทำการตลาดผ่านทั้งระบบ Online และ Offline รวมไปถึงการนำสินค้าที่นอกเหนือจากเหล็กเข้าไปจำหน่ายในสาขาด้วย ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสินค้าเดิมของบริษัท
พร้อมกันนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนร้านค้าสำเร็จรูป หรือ I-Retail ที่ได้เซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ไปแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจาระยะเวลาการส่งมอบ โดยลูกค้ามีความต้องการทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 1,000 หลัง โดยมีมูลค่าราว 1.8 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งจะรู้ผลปริมาณการส่งมอบในปลายปีนี้ โดยที่ผ่านมาได้เริ่มส่งมอบไปแล้ว 1 หลัง ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ 100 หลังต่อเดือน และในปี 62 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30% จากปัจจุบัน
นายศุภกิจ กล่าวต่อว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจค้าปลีกให้เพิ่มเป็น 50% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 63 จากปัจจุบันไม่มีเลย โดยมีแผนที่จะย้ายหมวดธุรกิจไปยังค้าปลีกในปี 63 จากปัจจุบันอยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก