บมจ.เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้นที่หุ้นละ 1.30 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19-21 ก.ย. และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 1 ต.ค.61 โดยมี บล.เออีซี (AEC) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น ขณะที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป , บล.เคที ซิมิโก้ และ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายฯ
บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ให้แก่ประชาชนทั่วไป 115 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.38% ของจำนวนที่เสนอขาย และจำนวนไม่เกิน 5 ล้านหุ้นเสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ โดยภายหลังการเสนอขาย IPO ครั้งนี้บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวนไม่เกิน 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
KWM เป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร พร้อมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์การเกษตรด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิ BOI จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า "Pegasus"ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทฯ เอง นอกจากนี้ยังให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับตราสินค้าอื่น ๆ ตามแบบที่ลูกค้ากำหนด อาทิ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้ตราสินค้า "ตราช้าง"
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนในบริษัท อัดเลอร์เทค จำกัด สัดส่วน 99.80% เพื่อเพิ่มความหลากหลายของตราสินค้าให้ผลิตภัณฑ์หลัก (Fighting Brand) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้แก่บริษัท ทั้งนี้ อัดเลอร์เทค ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตรประเภท ใบผาล ภายใต้ตราม้าบิน อีกทั้งอัดเลอร์เทคยังมีการจำหน่ายใบเกลียวและใบดันดิน อีกด้วย
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นขณะนี้เชื่อว่าเป็นผลบวกต่อ KWM เนื่องจากปัจจัยในประเทศเกื้อหนุนธุรกิจของบริษัทโดยตรง การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.30 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท โดยบริษัทมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 22.95 เท่า เมื่อคำนวณจากผลประกอบการรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.60-30 มิ.ย.61 เปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ย ของหมวดสินค้าอุตสาหกรรมของตลาด mai ในช่วง 12 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.60-31 ส.ค.61 มีค่าเท่ากับ 28.76 เท่า
"คาดว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี เนื่องจากจำนวนหุ้นที่เสนอขายมีจำนวนเพียง 120 ล้านหุ้น มั่นใจว่าจะสามารถจำหน่ายหมดทั้งจำนวน"นายชนะชัย กล่าว
นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร KWM เปิดเผยว่า หลังจากระดมทุนแล้วบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้บริษัท โดย KWM มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีพื้นฐานเทคนิคด้านการเกษตร หากมีการพัฒนาที่ดีมองว่าอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตรในประเทศสามารถขยายตัวได้อีก นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัท ทั้งต่อสถาบันการเงิน คู่ค้าธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของรายได้ในอนาคต
"KWM กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.30 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งนักลงทุนจะได้มีส่วนลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี และถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทฯ โดยในปี 61 แนวโน้มผลประกอบการของ KWM มีทิศทางในการเติบโตที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับปีนี้บริษัทฯ มีโปรดักส์ใหม่ คือ ใบผาลตัวใหญ่ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายของบริษัทฯให้เพิ่มขึ้น"นายเอกพันธ์ กล่าว
KWM ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯได้แก่ กลุ่มวนโกสุม ถือหุ้น 71.79% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว
3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับรายได้รวมในปี 58-60 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเท่ากับ 263.23 ล้านบาท 275.59 ล้านบาท และ 260.48 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 27.80 ล้านบาท 35.78 ล้านบาท และ 20.83 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 22.50%, 25.53% และ 23.51% ตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิ 10.65%, 13.04% และ 8.12% ตามลำดับ
และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.61 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 188.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33.81% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 141.20 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.69 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.95% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 60 คิดเป็น 20.96%