นายณรงค์ อิงค์ธเนศ ประธานกรรมการ บมจ.วินท์คอม เทคโนโลยี (VCOM) เปิดเผยว่า คณะกรรมการของบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทฯเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ไอ-ซีเคียว จำกัด (I-SECURE) คิดเป็น 100% มูลค่ารวมประมาณ 196.5 ล้านบาท เพื่อต่อยอดและขยายขอบเขตการให้บริการไปสู่การดำเนินการเฝ้าระวังระบบรักษาความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย เป็นการเพิ่มรายได้ค่าบริการ และลดการพึ่งพิงรายได้หลักในปัจจุบันที่มาจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Oracle
ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ I-SECURE แล้ว บริษัทประมาณการณ์ไว้ว่าสัดส่วนรายได้จากค่าบริการจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิม 35% ของรายได้ทั้งหมด และคาดว่ารายได้รวมของปีนี้จะแตะที่ระดับ 1,600 ล้านบาท
กระบวนการเข้าซื้อธุรกิจ I-SECURE คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวน 196.5 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากกระแสเงินสดของบริษัท และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 40 ล้านบาทที่คาดจะดำเนินการในปี 64 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 ต.ค.61 โดยบริษัทจะทยอยจ่ายเงินลงทุนเริ่มจากไตรมาส 4/61 จำนวน 115 ล้านบาท และจะทยอยจ่ายในไตรมาส 1/63 อีกจำนวน 40 ล้านบาท และในไตรมาส 1/64 จำนวน 40 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทคาดว่าจะเริ่มให้บริการเฝ้าระวังระบบรักษาความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย หรือบริการ MSSP กับกลุ่มลูกค้าของ VCOM และยังใช้ฐานลูกค้าของ I-SECURE ในการต่อยอดธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับบริษัทฯในอนาคต
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังนี้รายได้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 685 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้งานวางระบบซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ให้กับกรมที่ดินเข้ามามูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไตรมาสละ 150 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการขายโซลูชั่นให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) มูลค่า 50-60 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้
อีกทั้งบริษัทยังรอผลประมูลงานภาครัฐในประเทศเพิ่มเติม มูลค่า 200-300 ล้านบาทในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า และการประมูลงานภาครัฐในประเทศเมียนมา มูลค่า 40 ล้านบาทภายในปีนี้ และนอกจากนี้ยังรับรู้รายได้ของบริษัทย่อย บริษัท วีเซิร์ฟ พลัส จำกัด เข้ามาเต็มปี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมรายได้ในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 1.6 พันล้านบาท
ด้านธุรกิจในต่างประเทศ (CLM) ในปีนี้ บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จะเติบโตเป็น 20-30% จากปีก่อนอยู่ที่ 10% เป็นไปตามการเข้าประมูลงานภาครัฐ และสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสัดส่วนงานในระดับที่ใกล้เคียงกัน 50:50 แต่ในปี 62 คาดว่างานสถาบันการเงินจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 60% ตามการลงทุนปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์ อีกทั้งในปัจจุบันบริษัทยังมองโอกาสการขยายธุรกิจไปยังประเทศเวียดนามเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างศึกษาคู่แข่ง
ส่วนสัดส่วนงานในประเทศไทย จะมาจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ราว 60-70% ที่เหลือเป็นสถาบันทางการเงิน 30-40%
พร้อมกันนั้น บริษัทคาดว่ารายได้ปี 62 จะเติบโต 10-15% จากปีนี้ จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของ I-SECURE เข้ามาเต็มปี โดยคาดว่าจะทำให้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากปีนี้ I-SECURE ตั้งเป้ารายได้เติบโตเป็น 137-140 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 12 ล้านบาท จากปี 60 ที่มีรายได้อยู่ที่ 125.63 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.24 ล้านบาท อีกทั้งมองว่าการเลือกตั้งในปีหน้าจะช่วยสร้างความมั่นใจภาพการลงทุน ซึ่งจะช่วยส่งผลต่องานประมูลต่างๆที่จะออกมากขึ้น ทำให้ส่งผลดีกับบริษัทฯ
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทยังตั้งเป้ารายได้จากค่าบริการในปี 64 จะเพิ่มเป็น 70% จากปีนี้จะอยู่ที่ 40% เป็นไปตามการเข้าซื้อธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายวีระยุทธ์ เพริดพราว กรรมการผู้จัดการ I-SECURE กล่าวว่า บริษัทก่อตั้งโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 49 เพื่อประกอบธุรกิจบริการ MSSP (Managed Security Service Provider) เป็นรายแรกในเมืองไทย และให้บริการเป็น Outsource เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาและบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ให้กับองค์กรต่าง ๆ
ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาทาง I-SECURE มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพบริการเพื่อให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้มากที่สุดในการดูแลด้าน Cybersecurity โดยบริษัทได้มีการพัฒนาระบบเพื่อเฝ้าระวังและจัดการกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตลอดจนให้บริการศูนย์เฝ้าระวังด้านความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย หรือ Security Operation Center (SOC) รวมไปถึงบริการให้คำปรึกษาและออกแบบระบบให้แก่องค์กรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยบริษัทผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27001: 2013 และ ISO/IEC 20000:2011
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้บริการของ I-SECURE เช่น หน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการประชาชนองค์กรเอกชนชั้นนำ ที่ประกอบธุรกิจการให้บริการทางการเงินต่าง ๆ อาทิ ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทประกันภัย บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจการผลิตต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของประเทศ โดยมีอายุสัญญาตั้งแต่ 1-5 ปี เป็นต้น