นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) คาดว่าภายในไตรมาส 3/61 จะปิดดีลการเข้าซื้อกิจการจำนวน 3 กิจการ มูลค่ารวมไม่ถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วย 1. บริษัท M&G USA Corp และลูกหนี้ที่เกี่ยวข้อง (M&G) โดยบริษัทจะเข้าซื้อทรัพย์สินของโรงงาน PTA-PET แบบบูรณาการ ตั้งอยู่ที่เมืองคอร์ปัส คริสตี (Corpus Christi) มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา (โครงการคอร์ปัส คริสตี) รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพย์สินที่ใช้ผลิตสาธารณูปโภคของ M&G ซึ่งโครงการคอร์ปัส คริสตี อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิต PET อยู่ที่ 1.1 ล้านเมตริกตัน และมีกำลังการผลิต PTA อยู่ที่ 1.3 ล้านเมตริกตันต่อปี ซึ่งโรงงานแห่งนี้คาดว่าจะเป็นโรงงานผลิต PTA และ PET แบบบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertically Integrated) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นโรงงานผลิต PTA ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา
ทั้งนี้การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวได้ให้ Indorama Ventures Holdings LP (IVHLP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อม จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อว่า Corpus Christi Polymers LLC โดยเป็นการร่วมลงทุนกับบริษัท Alpek, S.A.B. de C.V. (Alpek) และบริษัท Far Eastern Investment (Holding) Ltd. (Far Eastern) ในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อเข้าซื้อกิจการ
2.บริษัท KORDARNA Plus a.s. สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งทอสำหรับยางในรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป มีโรงงานผลิตหนึ่งแห่งในสาธารณรัฐเช็ก และอีกแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐสโลวัก และมีกำลังการผลิตสิ่งทอสำหรับยางในรถยนต์และสิ่งทอทางเทคนิครวม 57,000 ตันต่อปี โดยบริษัทฯได้ให้บริษัท Indorama Ventures Spain S.L. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 100%
3.กิจการ DuPont Teijin เป็นกิจการผลิตฟิล์มโพลีเอสเตอร์ Biaxially-Oriented Polyethylene (BOPET) และ Polyethylene Naphthalate(PEN)ชั้นนำของโลก ซึ่งอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HighValueAdded) และใช้เป็นวัสดุพิเศษ สำหรับใช้งานเฉพาะด้านในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยกิจการDuPontTeijin ประกอบด้วยโรงผลิตทั้งหมด8แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรปและ สาธารณรัฐประชาชนจีน และมีกำลังการผลิตฟิล์มและวัสดุโพลิเมอร์รวม 277,000 ตัน /ปี โดยบริษัทจะเข้าซื้อหุ้น 100%
ทั้งนี้บริษัทฯ ถือว่ามีความพร้อมในการเข้าลงทุนซื้อกิจการ จากกระแสเงินสดของบริษัท (free cash flow) ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 1,000 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 30,000 ล้านบาท /ปี โดยจะใช้จากกระแสเงินสดดังกล่าว และจะไม่มีการเพิ่มทุน
นายอาลก กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในช่วงเดือนธ.ค.61- ม.ค.62 บริษัทฯ จะมีการทบทวนปรับเพิ่มเป้าหมาย EBITDA ปี 62 จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป้าหมายเดิม บริษัทฯ ยังไม่ได้นำการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวมาคำนวณไว้
ด้านผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/61 บริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกๆผลิตภัณฑ์ ทั้ง PET, PTA และพาราไซลีน ที่ปรับเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลทำให้ EBIDA ในปีนี้จะมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 12% สูงกว่าเป้าหมายเฉลี่ยในช่วง 5 ปี ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ว่าจะโตเฉลี่ย 12% ต่อปี
"เรายังคงเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA ให้มีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี และในอนาคตก็เช่นกัน จากการเข้าซื้อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตจากธุรกิจเดิม"