TNR ตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิปีนี้ 10-12% แม้ H1 ทำได้เพียง 6.99% แต่มองผลงานดีขึ้นใน H2 รับรู้ฯค่าลิขสิทธิ์ PLAYBOY หนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 19, 2018 17:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุเมธ มาสิลีรังสี ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ (TNR) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากระดับ 9.24% ในปีที่แล้ว แม้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะทำได้เพียง 6.99% หลังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมากในช่วงไตรมาสแรก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะรับรู้รายได้ค่าลิขสิทธิ์แบรนด์ PLAYBOY ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะสามารถบันทึกเข้ามาเป็นกำไรเข้ามาทันที เชื่อว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการในครี่งหลังของปีนี้ดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก

ขณะเดียวกันการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท บ๊อก เอเชีย กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (BAGI) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องกระดาษ ก็จะส่งผลดีต่อการลดต้นทุนด้านกล่องบรรจุถุงยางอนามัยปรับตัวลดลง จากเดิมที่ใช้วิธีสั่งซื้อจากภายนอกทั้งหมด

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 20% จากราว 1.3 พันล้านบาทในปีที่แล้ว เนื่องจากมีการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 65-70% จากกำลังการผลิตทั้งหมด 1,900 ล้านชิ้นต่อปี แบ่งเป็นงานรับจ้างผลิต (OEM) 70-75% งานประมูล 12-15% และส่วนที่เหลือคือรายได้จากแบรนด์ ONETOUCH

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากค่าลิขสิทธิ์แบรนด์ PLAYBOY และการทยอยส่งมอบถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่น PLAYBOY ราว 150 ล้านบาท ที่ปัจจุบันได้เริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าจากสหภาพยุโรป สิงคโปร์ บาห์เรน และมอลตา ที่จะเริ่มทยอยส่งสินค้าในช่วงไตรมาส 3/61 เป็นต้นไป และยังเตรียมที่จะเข้าไปเจรจากับลูกค้าในประเทศสหรัฐฯเพิ่มเติมด้วย

ด้านนายกัณห์ กุลอัฐภิญญา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ของ TNR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีส่วนแบ่งตลาดแบรนด์ ONETOUCH เพิ่มขึ้นเป็น 28% ของปริมาณการใช้โดยรวม ขณะที่ปี 62 จะเพิ่มขึ้นเป็น 32% และปี 63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 35% โดยจะรุกวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาให้ครอบคลุมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าให้ดีขึ้น

"เราตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแข่งตลาดเพื่อก้าวเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในประเทศในอนาคต โดยมั่นใจว่าด้วยคุณภาพสินค้าและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค ประสบการณ์ในการขายและการตลาด และมีพันมิตรคู่ค้าด้านการตลาดและช่องทางจำหน่ายที่ดี จะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าของเราและทำให้ ONETOUCH บรรลุเป้าหมายที่วางไว้"นายกัณห์ กล่าว

นายกัณห์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย (สำรวจโดยนีลเส็น ประเทศไทย) ว่า ในปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.43 พันล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณ 72 ล้านชิ้น (ไม่รวมถุงยางที่แจกจ่ายโดยภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไร) โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดกว่า 30 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 หน่วยสินค้า (SKU) ซึ่งมาจากผู้ผลิตในประเทศ 5 ราย และผู้นำเข้าจากต่างประเทศอีก 2 ราย

ขณะที่ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามูลค่าตลาดรวมลดลงประมาณ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากค่านิยมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงไป สะท้อนจากอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประชาชนคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ตามประเมินว่าแนวโน้มตลาดถุงยางอนามัยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการขายทางออนไลน์ที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างโดดเด่น จากการทำกิจการการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายของผู้ประกอบการแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ