นายวิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าระดมทุนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมีแผนจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 2-3 แห่ง คาดเปิดให้จองซื้อ พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
วัตถุประสงค์การใช้เงินระดมทุนจะนำไปใช้ซื้อที่ดินขยายการพัฒนาโครงการ และบางส่วนใช้ชำระหนี้ ซึ่งจดช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน( D/E )ให้ลดลงจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.8 เท่า และลดต้นทุนหนี้ที่มีดอกเบี้ยจากปัจจุบันอยู่ระดับ 7-8%
ทั้งนี้ CMC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยมากว่า 24 ปี เน้นประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลักและทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้า รวมทั้งอาคารสำนักงานให้เช่า และยังมีกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานโครงการของบริษัทในเครือเป็นหลัก มีแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 250 ล้านหุ้น
นายวิเชียร เปิดเผยว่า สำหรับปีนี้บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตดีกว่าปี 60 ที่มีรายได้ 1,525.23 ล้านบาท และมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้น 40% ซึ่งบริษัทเน้นการควบคุมต้นทุนและคุณภาพการก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทมีธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ แผ่นพรีแคสท์ เป็นของตัวเอง จึงเป็นส่วนสนับสนุนด้านต้นทุนได้ดี
ขณะนี้บริษัทมีสต๊อกสินค้าพร้อมขายมูลค่า 4,000 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ให้เติบโตอย่างเด่นชัด และบริษัทมีโครงการที่มีแผนจะพัฒนาและมีที่ดินเตรียมพร้อมแล้ว 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเปิดตัวได้ 3 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมีเนียม ทำเลติวานนท์ รามคำแหง และวงศ์สว่าง ซึ่งเป็นทำเลที่บริษัทให้ความสำคัญโดยเน้นพื้นที่โครงการแนวรถไฟฟ้า
นาบวิเชียร กล่าวอีกว่า บริษัทยังดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรให้เข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยขณะนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาพูดคุยบ้างแล้วทั้งจากจีนและญี่ปุ่น แต่คงยังไม่มีข้อสรุปในเร็วๆนี้ ส่วนในปี 62 บริษัทมีแผนจะใช้การตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในตลาดเพิ่มมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ แผนงานในช่วง 3 ปี (62-64) บริษัทคาดหวังสัดส่วนรายได้ประจำจะเข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจประมาณ 10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการให้เช่าอาคารสำนักงานบางส่วน แต่ยังน้อยมาก รวมถึงมีความสนใจในธุรกิจสร้างรายได้ประจำอื่นๆ เช่น โรงแรม ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตระยะยาวคาดหวังจะมีสัดส่วนรายได้ประจำและโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ 50% และรายได้จากคอนโดมีเนียม 50% ซึ่งบริษัทประเมินว่าเป็นพอร์ตที่มีความสมดุลสร้างรายได้ให้เติบโตยั่งยืน