BLISS ยืนยันความจำเป็นเพิ่มทุน เหตุเงินหมุนเวียนต้องสำรองไว้ซื้อสินค้า

          นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.บลิส-เทล(BLISS)เปิดเผยถึงความจำเป็นในการเพิ่มทุนว่า แม้บริษัทจะมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และเงินลงทุนชั่วคราวรวม 381 ล้านบาทก็ตามแต่เนื่องจากรายการดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทที่จะเป็นต้องสำรองไว้สำหรับการดำเนินงานของบริษัทโดยเฉพาะการซื้อสินค้า 
          ดังนั้น ในการขยายธุรกิจและการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันตามแผนการดำเนินงานปี 2551 ข้างต้น บริษัทจึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาใช้ตามแผนงาน
          อนึ่ง บริษัทกำหนดจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,575,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 0.15 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะได้รับเงินประมาณ 236 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เงินจากการเพิ่มทุนประมาณร้อยละ 40-50 (ประมาณ 94-118 ล้านบาท) ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันภายใน Q1/2551 ส่วนที่เหลือจะสำรองไว้สำหรับลงทุนเพิ่มเติมในโครงการดังกล่าวและโครงการอื่นตามแผนการขยายธุรกิจของบริษัทต่อไป 
          ขณะที่ข้อมูลในงบการเงินของ Q3/2550 ของบริษัทปรากฏรายการเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 284 ล้านบาท และเงินลงทุนชั่วคราว 97 ล้านบาท รวม 381 ล้านบาท
          สำหรับการดำเนินการต่อเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 381 ล้านบาทนั้นบริษัทจำเป็นต้องสำรองไว้ สำหรับการซื้อสินค้าเป็นหลักในขณะที่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นเพียงการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเท่านั้น บริษัทจึงไม่ได้กำหนดสัดส่วนระหว่างเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนในหลักทรัพย์ที่แน่นอนแต่อย่างใด แต่จะขึ้นอยู่กับภาวะตลาดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง และความจำเป็นในการสั่งซื้อสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะของตลาด ซึ่งในการซื้อสินค้าส่วนใหญ่จะต้องมีการชำระเงินล่วงหน้าหรือชำระเป็นเงินสด บริษัทจึงจำเป็นต้องมีการสำรองเงินทุนหมุนเวียนไว้เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ซื้อสินค้าเสมอ
          เมื่อเปรียบเทียบงบการเงินระหว่าง Q3/2549 และ Q3/2550 จะเห็นว่าสัดส่วนระหว่างรายได้จากการขายสินค้า กับ เงินสดและรายการเที ยบเท่าเงินสด เงินลงทุ นชั่วคราวและสินค้าคงเหลือมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ มีรายได้จากการขาย 1,258 และ 1,188 ล้านบาท เทียบกับ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนชั่วคราว และสินค้าคงเหลือ 657 และ 660 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราส่วน 1.91 เท่า ใน Q3/2549 เทียบกับ 1.80 เท่า ใน Q3/2550